แสนสิริฯเผยภาพรวมตลาดอสังหาฯปี60 แนวโน้มฟื้นตัว จากความชัดเจนการลงทุนของภาครัฐส่วนทำเลย่านหล่อพบราคาขายปรับสูงถึง 300,000 บาท/ตารางเมตรเทียบจาก10ปีที่ผ่านมา ขณะที่ราคาที่ดินซื้อขายสูง 1.5-2ล้านบาท/ตารางวา ถึงสิ้นปีมีซัพพลายใหม่รวมกว่า 700 ยูนิต ล่าสุดเตรียมเปิดตัว “KHUN by YOO inspired by Starck” มูลค่า 4,000 ล้านบาท ไตรมาส1/60 ฟุ้งยอดพรีเซลพุ่งแล้ว 60% ระบุเทรนด์แข่งขันด้านดีไซน์มาแรง มั่นใจผลงาน“ฟิลิปป์ สตาร์ค”ตอบโจทย์ดีมานด์
An image
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท แสนสิริจำกัด(มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯปี2560 ว่า มีแนวโน้มเติบโตดีกว่าปี 2559 อย่างแน่นอน เนื่องจากรัฐบาลมีความชัดเจนในด้านนโยบายการลงทุนเมกะโปรเจกต์ รวมไปถึงการอัดฉีดเม็ดเงินไปสู่ระดับรากหญ้าด้วย อีกทั้งภาคการส่งออกก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเช่นกัน

สำหรับภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะย่านทองหล่อ พบว่าเป็นทำเลที่ราคาอสังหาฯมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯเปิดตัวโครงการครั้งแรกในย่านดังกล่าวในราคาประมาณ 100,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งถือว่าสูงมากในขณะนั้น แต่ปัจจุบันราคาขายปรับขึ้นมาถึง 1 เท่าตัว คืออยู่ที่ประมาณ 270,000-300,000 บาท/ตารางเมตร หรือปรับขึ้นปีละประมาณ 13% มีอัตราการอยู่อาศัยสูง 80-90% เพราะเป็นทำเลที่มีดีมานด์ที่ต้องการเช่าอยู่อาศัยมาก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ที่เช่าอยู่อาศัยมากถึง 70% ซึ่งราคาค่าเช่าในย่านดังกล่าวเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท/ตารางเมตร หรือห้องขนาด 1 ห้องนอน ราคาเช่าอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท/เดือน ส่วนขนาด 2 ห้องนอน ราคาเช่าประมาณ 70,000-80,000 บาท/เดือน อีกทั้งสามารถรีเซลได้ถึงราคา 250,000-270,000 บาท/ตารางเมตรด้วย ในขณะที่ราคาที่ดินในย่านนี้จะอยู่ที่ประมาณ 1.5-2 ล้านบาท/ตารางวา ขณะที่ราคาประเมินจะอยู่ที่ประมาณ 400,000-500,000 บาท/ตารางวา คาดว่าระยะเวลาที่เหลืออีก 1 เดือนเศษของปี 2559 นี้ จะมีซัพพลายใหม่ในย่านทองหล่อ เปิดตัวอีกประมาณ 450 ยูนิต และเมื่อรวมกับ 2 โครงการซัพพลายของแสนสิริ อีกประมาณ 260 ยูนิต จะทำให้ซัพพลายรวมในย่านดังกล่าวมาจำนวนประมาณกว่า 700 ยูนิต ซึ่งยังเพียงพอกับดีมานด์ในย่านดังกล่าว
An image
ล่าสุดบริษัทฯได้เตรียมเปิดตัวคอนโดฯโครงการสุดท้าย จากทั้งหมด 9 โครงการในปีนี้ คือ โครงการKHUN by YOO inspired by Starck (คุณ บาย ยู อินสไปร์บาย สตาร์ค)ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างแสนสิริฯและบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)หรือ BTS ตั้งอยู่บริเวณซอนสุขุมวิท 55 (ทองหล่อ12) บนพื้นที่ 1ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯสูง 27 ชั้น จำนวน 1 อาคารพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 41.50-302.75 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 15-120ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยประมาณ 360,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 148 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท ขณะนี้มียอดพรีเซลแล้ว 60% โดยลูกค้าเป็นคนไทยทั้งหมด ซึ่งเป็นลูกค้าเก่าของบริษัทฯ 80% โดยคาดว่าจะเป็นลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงสัดส่วน 60% และซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่าสัดส่วน 40% ซึ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 2560 โดยมีแผนที่จะนำโครงการไปโรดโชว์ที่ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และจีน ด้วย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ในขณะนี้ ทั้งนี้โครงการดังกล่าวผ่านการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในเดือนมกราคม 2560 และแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2563
An image

โครงการดังกล่าวเป็นการออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังระดับโลก “ฟิลิปป์ สตาร์ค”ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานของ “ยู ดีไซน์ สตูดิโอ”(YOO Design Studio)โดยสาเหตุที่บริษัทเลือกบริษัทสถาปนิกดังกล่าว เพราะมีประสบการณ์ในการออกแบบมาถึง 55 โครงการ ใน 33 เมือง จาก 26 ประเทศ และทุกโครงการที่ได้รับการออกแบบพบว่ามีดีไซน์ที่ทันสมัย สวยงาม แปลกตา และเป็นแบรนด์ที่แข็งแรง สามารถดึงดูดลูกค้าได้ทั่วโลก อีกทั้งราคาที่ขายมีการปรับเปลี่ยนเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 30% ภายในระยะเวลา 2-3 ปี และสามารถปิดการขายในระยะเวลา2-3 ปีด้วยเช่นกัน

โครงการ KHUN by YOO inspired by Starck ตั้งอยู่บนทำเลทองหล่อ ซึ่งถือว่าเป็นทำเลที่มีความเจริญเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง จึงได้นำคอนเซปต์ “The Industrial Heritage of Thong Lo”มาให้กับโครงการดังกล่าว ด้วยราคาขายต่อตารางเมตร ถือว่าเป็นราคาที่สูงสุดที่ในย่านทองหล่อในขณะนี้ และภายหลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการคงมีการปรับราคาขายขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ เพราะต้องรอดูสถานการณ์ในขณะนั้นเสียก่อน

“ในกทม.โครงการของแสนสิริถือว่าเป็นรายเดียวที่ได้รับการออกแบบโดย “ยู ดีไซน์ สตูดิโอ”จากที่ก่อนหน้านี้ได้เคยออกแบบโครงการที่พักอาศัยให้กับนักลงทุนชาวต่างชาติที่จ.ภูเก็ต มาแล้ว ซึ่งต้องยอมรับว่าปัจจุบันเทรนด์การแข่งขันด้านดีไซน์กำลังมาแรง เพราะลูกค้าจะเริ่มมีความต้องการสินค้าที่พัฒนาได้ยาก มีดีไซน์ที่เหมาะสม มีคุณค่า และมีศิลปะมากขึ้น โดยที่ผ่านมาพบว่า สัดส่วน 60% เป็นการซื้อเพราะชื่นชอบในทำเล รองลงมาเพราะซื้อแล้วคุ้มค่ากับการอยู่อาศัยหรือการลงทุน ส่วนประการสุดท้ายคือซื้อเพราะมีการดีไซน์ที่แปลกและทันสมัย”นายอุทัย กล่าวในที่สุด
– See more at: https://prop2morrow.com/home/news/848#sthash.sea6pVU7.dpuf

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*