แสนสิริฯหวั่นปีระกาหนี้ครัวเรือน-ยอดรีเจคยังเป็นปัญหาใหญ่ภาคอสังหาฯ เชื่อภาพรวมตลาดยังโต5% จากความชัดเจนการลงทุนภาครัฐ เปิดแผนปี60 ผุด 19 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 41,200 ล้านบาท พร้อมประกาศนำบ้านแบรนด์”แสนสิริ”กลับทำตลาดใหม่อีกรอบ ราคา 40-120 ล้านบาท ทั้งรุกขยายฐานลูกค้าต่างชาติ-เปิดสำนักงานสาขาดันยอดโต 40% ตั้งเป้ารายได้ทั้งปีแตะ 34,000 ล้านบาท

 

นายเศรษฐา  ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท แสนสิริ  จำกัด (มหาชน) หรือ  SIRI  เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี2560นี้ ว่ายังมีปัจจัยที่น่ากังวลคือเรื่องหนี้สินครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับที่สูง และยอดการถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน(Reject)ที่ยังสูงเช่นกัน ส่งผลต่อการขอสินเชื่อของผู้ที่จะซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าระดับล่าง โดยในส่วนของลูกค้าระดับล่างของบริษัทฯเองนั้นปัจจุบันมีอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ 15-20% ซึ่งในปีนี้คาดว่าอาจจะยังคงอยู่ไนระดับดังกล่าว แต่โดยรวมแล้วลูกค้าระดับกลาง-บน จะซื้อสินค้าด้วยเงินสดในสัดส่วนถึง 70%

 

ขณะเดียวกันบริษัทฯก็ได้กระจายการเปิดโครงการในระดับต่างๆ โดยแบ่งสัดส่วนเป็นโครงการในระดับบน 30% โครงการระดับกลาง 50% และโครงการระดับล่าง 20% ซึ่งถือเป็นการกระจายความเสี่ยงและกระจายกลุ่มลูกค้า  ขณะที่ปัจจัยบวกก็ยังถือว่ามีอยู่เช่นกัน อาทิ ราคาพืชผลทางการเกษตรที่คาดว่าจะเริ่มดีขึ้น และจะส่งผลให้กำลังซื้อระดับล่างดีขึ้นด้วย และการลงทุนเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่จะเป็นตัวช่วยผลักดันให้ตลาดเติบโต คาดว่าทั้งปีตลาดรวมจะมีอัตราการเติบโตที่ 5% และเชื่อว่าการซื้อเพื่อเก็งกำไรคงไม่มีในตลาดอีกแล้ว เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและบางส่วนเป็นการซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่าหรือเพื่อขายต่อ

 

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี2560 จะเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ 19 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 41,200 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทได้แบ่งประเภทการพัฒนาโครงการเป็นที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม 8 โครงการ โครงการบ้านเดี่ยว 9 โครงการและโครงการทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับบีทีเอส 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 12,000 ล้านบาท โดยระดับของโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทจะเปิดตัวในปีนี้จะเป็นโครงการที่อยู่ในเซกเมนต์ระดับกลาง-บนเป็นส่วนใหญ่

 

ทั้งนี้จะแบ่งเป็นการเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาส 1/2560 จำนวน 1 โครงการ ในรูปแบบของทาวน์เฮาส์ ,ไตรมาส 2/2560 จำนวน  4 โครงการ ไตรมาส 3/2560 จำนวน 1 โครงการ และไตรมาส 4/2560 จะมีการเปิดโครงการใหม่มากที่สุดถึง 13 โครงการ ซึ่งส่วนใหญ่การเปิดโครงการใหม่ในใตรมาสสุดท้ายจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียม เนื่องจากบริษัทจะเปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียมหลังจากที่ผ่านการอนุมัติในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้ว

 

โดยหนึ่งในจำนวนโครงการในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะเป็นการนำโครงการบ้านเดี่ยว “บ้านแสนสิริ” ที่หยุดการพัฒนาไปกว่า 10 ปี กลับมาพัฒนาอีกครั้ง จากก่อนหน้านี้เคยพัฒนาบริเวณซอยสุขุมวิท67 มาแล้ว 1 1 โครงการ โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่ย่านพัฒนาการ บนพื้นที่ประมาณ 30 ไร่  ขนาดที่ดินตั้งแต่ 120 ตารางวา- 1 ไร่ ราคาตั้งแต่ 40-120 ล้านบาท จำนวน 36 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท

 

อย่างไรก็ตามแม้ว่าปัจจุบันผู้ประกอบการอสังหาฯรายใหญ่จะมีการแข่งขันกันที่ดุเดือด แย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากผู้ประกอบการรายเล็ก เพราะแต่ละรายถือว่ามีจุดแข็งของตนเอง แต่มองว่าการแข่งขันก็จะเป็นไปในรูปแบบเดิมๆ ในส่วนของบริษัทฯเองถือว่ามีจุดแข็งที่มีช่องทางการจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศเป็นจำนวนมาก และในปี 2560 นี้ยังมีแผนขยายฐานตลาดลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น ด้วยการนำโครงการไปขายในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีแผนการจัดตั้งสำนักงานขายเพิ่มในประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน และฮ่องกง จากปัจจุบันมีสำนักงานขายอยู่ในเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และสิงคโปร์ โดยในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายลูกค้าต่างชาติอยู่ที่ 7,500 ล้านบาทในปีนี้ เติบโต 40% จากปี 2559 ที่มียอดขายลูกค้าต่างชาติอยู่ที่ 5,400 ล้านบาท เกินจากเป้ายอดขายที่วางไว้ 5,000 ล้านบาท และเติบโตขึ้นถึง 55% จากปี 2558

 

“เอเยนซี่ในการขายโครงการให้เราในแต่ละเมืองของแต่ละประเทศ ล้วนมีความสำคัญที่เราจะต้องสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาว เพราะเขาจะช่วยสร้างแบรนด์ให้แสนสิริเป็นที่รู้จักในระยะยาวด้วย”นายเศรษฐา กล่าว

 

นอกจากนี้บริษัทจะมีการสร้าง Innovation and digital ecosystem โดยการจัดตั้งบริษัทลูกในลักษณะของ Venture Capital ขึ้นเพื่อมองหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจประเภท“Property Tech” ที่มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทแสนสิริ และจะมีส่วนช่วยผลักดันธุรกิจหลักของแสนสิริให้มีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น รวมถึงมองหาโอกาสและนวัตกรรมทางธุรกิจ รวมไปถึงกระบวนการธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง โดยคาดว่าธุรกิจใหม่นี้จะเป็นช่องทางรายได้ใหม่ของ แสนสิริได้ในอนาคต โดยมีแผนจะเปิดตัวบริษัทร่วมทุนในวันที่ 25 มกราคม 2560 นี้ ซึ่งการเปิดตัว Property Tech ของบริษัทครั้งนี้ถือว่าเป็นรายแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีการจัดตั้ง Venture Capital ขึ้นมา

 

อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯได้ตั้งงบซื้อที่ดินไว้ที่ 7,000-7,500ล้านบาท จากปีก่อนที่ใช้ไป 8,000 ล้านบาท โดยการซื้อที่ดินจะเป็นการซื้อรองรับการพัฒนาโครงการในปี 2562 และในอนาคต เพราะการเปิดโครงการไนปีนี้บริษัทฯมีที่ดินรองรับไว้ทั้งหมดแล้ว

 

ในปี2560 นี้บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 34,000 ล้านบาท ใกล้เคียงรายได้ในปีก่อนที่คาดว่าอยู่ที่ 34,000 ล้านบาท โดยบริษัทจะมีการทยอยโอนมูลค่า 14,000 ล้านบาท ในปีนี้ แบ่งเป็นโครงการของบริษัทที่จะโอน 8,000 ล้านบาท และโครงการร่วมทุนกับบีทีเอส 6,000 ล้านบาท จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่ทั้งหมด 39,000 ล้านบาท แบ่งเป็น Backlog ของบริษัทฯ 18,600 ล้านบาท และ Backlog ของบริษัทร่วมทุน 20,400 ล้านบาท ซึ่งจะมีการทยอยรับรู้รายได้ไนช่วง 4 ปีนับจากนี้

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*