ริชชี่ฯเผยนักธุกิจจีน ญี่ปุ่นและไทยสนดึงร่วมทุนอสังหาฯ คาดสรุปภายใน 2 เดือน เปิดแผนปี61 รุกผุดอย่างน้อย 4 โครงการ มูลค่า 8,000 ล้านบาท ล่าสุดซื้อที่ดินย่านเอกมัยเตรียมผุดคอนโดฯแบรนด์ใหม่ ราคา 7-16 ล้านบาท ส่วนครึ่งปีหลังเน้นระบายสต็อกเก่า 12 โครงการ 4,800 ยูนิต จัดแคมเปญพิเศษ คาด 2 วันฟันยอดขาย100 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายทั้งปีแตะ 1,800 ล้านบาท รับรู้รายได้ 1,000 ล้านบาท

 

นางอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริชี่ เพลซ 2002 จำกัด(มหาชน)หรือRICHY เปิดเผยว่าในครึ่งปีหลังของปี2560 สภาวะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกจะคลี่คลายฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว ขณะที่อัตราการว่างงานในยุโรปก็ลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งญี่ปุ่นก็มีการใช้มาตรการอัดเงินเข้าสู่ระบบ จึงทำให้เศรษฐกิจในประเทศคงที่ ประชาชนกล้าตัดสินใจจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่วนประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ก็มีอัตราการเติบโตโดยรวม 5-7% แต่ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตน้อยสุดคือ 3-4% แต่ก็มีส่วนของแรงงานที่จะอาจจะกระทบต่อต้นทุนตามการปรับขึ้น โดยค่าแรงคิดเป็น 30% ของต้นทุนค่าก่อสร้าง อย่างไรก็ตามแม้เงินเฟ้อจะขยับ แต่ราคาวัสดุก่อสร้างไม่ได้ขยับขึ้นสูง เหตุผลราคาน้ำมันยังไม่เป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามเชิญชวนนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น คาดว่าในครึ่งปีหลังจากสภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวมจะฟื้นตัวดีขึ้น

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯนั้นยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องโดยในอนาคตจะมีแผนร่วมทุนกับพันธมิตรเพื่อร่วมพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากทั้งนักลงทุนจากจีน ซึ่งดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง รวมไปถึงผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาฯชาวญี่ปุ่น และผู้ประกอบการอสังหาฯนอกตลาดหลักทรัพย์ฯในประเทศไทย ที่มีเม็ดเงินลงทุนที่มาก คาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ภายในระยะเวลา 2 เดือนนี้

 

ในปี2561มีแผนจะเปิดตัวอย่างน้อย 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งอาจจะเป็นในรูปแบบของแนวสูง 3 โครงการและแนวราบ 1 โครงการ ทั้งนี้การที่บริษัทฯต้องเจาะตลาดแนวราบด้วยเนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบการหลายรายหันไปรุกตลาดแนวราบกันมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทต้องดึงมืออาชีพด้านโครงการแนวราบจากบริษัทอสังหาฯรายใหญ่เข้ามาบริหารด้วย เนื่องจากบริษัทฯไม่ค่อยมีความในเชี่ยวชาญในโครงการแนวราบมากนัก ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจา คาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ภายใน 2 เดือนนี้

 

นอกจากนี้ บริษัทฯได้ซื้อที่ดินแปลงใหม่ติดห้างบิ๊กซีในซ.เอกมัย8 พื้นที่เกือบ 2 ไร่ โดยมีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดฯแบรนด์ใหม่ สูง 40 ชั้น ขนาด 34-70 ตารางเมตร ราคาขายต่ำกว่า 200,000 บาท/ตารางเมตร หรือ 7-16 ล้านบาท จำนวนประมาณ 400 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 3,500 ล้านบาท ทั้งนี้ได้ใช้เงินจากการเพิ่มทุนวางมัดจำซื้อที่ดินโดยปัจจุบันราคาซื้อขายที่ดินในทำเลดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านบาท/ตารางเมตร ความคืบหน้าขณะนี้อยู่ในระหว่างการปรับรูปแบบโครงการซึ่งเดิมโครงการดังกล่าวมีแผนจะเปิดขายในเดือนธันวาคม2560 แต่ได้เปลี่ยนแผนไปเปิดตัวในช่วงไตรมาส1 หรือไตรมาส2/2561 แทน

ส่วนในครึ่งปีหลังของปี 2560 นั้นบริษัทฯไม่มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ คงเน้นระบายสต็อกสินค้าเก่า จาก 12 โครงการ แบ่งเป็นคอนโดฯ 9 โครงการ และแนวราบ 3 โครงการ มีสต็อกเหลือขายทั้งสิ้น 4,800 ยูนิต มูลค่า 800 ล้านบาท โดยจะนำโครงการดังกล่าวมาจัดแคมเปญพิเศษ”2 วันมหัศจรรย์”ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 5-6 สิงหาคม 2560 นี้ โดยมอบของแถมให้รวม 99 รายการ รวมมูลค่ากว่า 300,000 บาท คาดว่าจะมียอดขายประมาณ 100 ล้านบาท ทั้งนี้การที่จัดแคมเปญดังกล่าวเพื่อแปลงทรัพย์สินเป็นเงินทุนสำหรับลงทุนโครงการต่อไปในอนาคต

 

ปัจจุบันลูกค้าโครงการของบริษัทยังมีอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน(Reject)ในสัดส่วนประมาณ 22-23% ซึ่งบริษัทฯได้พยายามปรับแผนด้วยการตรวจสอบรายได้และหนี้สินของลูกค้าก่อนทำการจองอย่างเข้มงวด คาดว่าในปลายปีนี้ยอดReject จะลดลงเหลือ20% และลดลงอย่างต่อเนื่องในปีต่อๆไป

 

สำหรับงบซื้อที่ดินปีนี้ที่ตั้งไว้ 1,600 ล้านบาท ปัจจุบันได้ไช้ไปหมดแล้ว แต่ยังมีความสนใจซื้อที่ดินเพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมทั้งเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 2/2560 จำนวน 540 ล้านบาท อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 6.25% ต่อปี โดยขายให้กับนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับดี โดยเป็นการออกหุ้นกู้ทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุในในเดือนสิงหาคมนี้

 

อย่างไรก็ตามบริษัทฯมั่นใจว่ายอดขายในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้คือ 1,800 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกที่ทำได้แล้ว 800 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ปีนี้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท คาดว่าในช่วงครึ่งปีแรกจะมีการโอนจากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาประมาณ600 ล้านบาท และคาดว่าจะมีการโอนในครึ่งปีหลังอีกประมาณ 400 ล้านบาท