โฮมโปร โชว์กำไรครึ่งปีโต 17.26% รายได้พุ่ง 31,046.04 ล้านบาท

โฮมโปร ตีปีกกำไรครึ่งปีโต 17.26 % โชว์รายได้สุทธิ 2,177.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 320.58 ล้านบาท กวาดรายได้รวม 31,046.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 799.01 ล้านบาท หรือ 2.64% ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตจากสาขาใหม่ ทั้งธุรกิจโฮมโปร เมกา โฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมีกำไรขั้นต้นสูงขึ้นมาอยู่ที่ 26.00%

นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสำหรับในครึ่งปีแรก เท่ากับ 2,177.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 320.58 ล้านบาท หรือ 17.26% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวม จำนวน 31,046.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 799.01 ล้านบาท หรือ 2.64%โดยเพิ่มขึ้นจาก รายได้จากการขายจำนวน 29,072.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 815.10 ล้านบาท หรือ 2.88% ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตจากสาขาใหม่ ทั้งธุรกิจโฮมโปร เมกา โฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย

และบริษัทฯ มีรายได้ค่าเช่าและบริการ จำนวน 898.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.71ล้านบาท หรือ 1.32% เป็นผลมาจากรายได้ค่าเช่าที่สูงขึ้นจากพื้นที่ให้เช่าเพิ่มเติมของสาขาที่เปิดใหม่ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีก่อน และรายได้อื่นอีกจำนวน 1,074.90 ล้านบาท ลดลง 27.80 ล้านบาท หรือ 2.52% จากการปรับแผนเลื่อนกิจกรรมทางตลาดที่ร่วมกับคู่ค้าไปในครึ่งปีหลัง

นอกจากนี้กำไรขั้นต้น จำนวน 7,559.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 431.30 ล้านบาท หรือ 6.05% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 25.22%ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.00% โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนของส่วนผสมสินค้ามีไว้เพื่อขายทั้งกลุ่มสินค้าทั่วไป และกลุ่มสินค้า Direct Sourcing การวางแผนการจัดซื้อสินค้า รวมถึงธุรกิจเมกา โฮม ที่มีอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้นจากการได้ผลประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดมากขึ้น
สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จำนวน 6,621.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94.84 ล้านบาท หรือ 1.45% เมื่อเทียบกับปีก่อน ปัจจัยหลักเป็นผลมาจากต้นทุนในการให้บริการแก่ลูกค้า และค่าเสื่อมราคา อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายมีการปรับตัวดีขึ้น โดยลดลงจาก 23.10% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 22.78% ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปว่า เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นจากภาคการส่งออก และท่องเที่ยว แต่ราคาพืชผลทางการเกษตรส่วนใหญ่ที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่มีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน รวมถึงการขาดความต่อเนื่องของมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายต่างๆ จากภาครัฐเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และฤดูฝนที่มาเร็วกว่าปกติซึ่งส่งผลกระทบต่อกลุ่มสินค้าทำความเย็น รวมถึงผลกระทบจากการเปิดสาขาใหม่ในบริเวณใกล้เคียงกับสาขาเดิม (Cannibalization) ในกรุงเทพฯ จากสาขาพระราม 9 และศรีนครินทร์ ทำให้ยอดขายสาขาเดิม (Same Store Sale Growth) ของโฮมโปรยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

อย่างไรก็ตามจากผลกระทบข้างต้น บริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อกระตุ้นยอดขาย ตัวอย่างเช่น การขยาย HomePro Fair ไปยังหัวเมืองในต่างจังหวัดในไตรมาสที่ 2 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี รวมถึงการนำเสนอธุรกิจในรูปแบบใหม่คือ HomePro S เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพของอัตราการทำกำไรในแต่ละกลุ่มสินค้าให้ดีขึ้น เช่น การเพิ่มสัดส่วนสินค้ากลุ่มสินค้า Direct Sourcing การวางแผนการจัดซื้อสินค้า การเพิ่มคุณภาพของสินค้า เป็นต้น รวมถึงการปรับปรุงและควบคุมประสิทธิภาพภายในของบริษัทฯ ด้วยเช่นกัน
สำหรับไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ยังคงดำเนินงานตามแผนธุรกิจในระยะยาวที่ได้ตั้งไว้ ได้มีการเปิดสาขา โฮมโปร 2 แห่งที่ โลตัสบางแค และ HomePro S ที่เกตเวย์ เอกมัย โดยสิ้นไตรมาสที่ 2 มีสาขาโฮมโปรเปิดดำเนินการทั้งสิ้น 82 สาขา สำหรับธุรกิจเมกา โฮม ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อของผู้บริโภคและฤดูฝนเช่นกัน อย่างไรก็ตามธุรกิจ เมกา โฮม ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนดำเนินการ และได้รับผลประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดมากขึ้น (Economies of scale)
ด้านธุรกิจโฮมโปร ที่ประเทศมาเลเซียได้มีการเปิดสาขาอีก 1 แห่งที่ มะละกา (Melaka) โดยมีผลตอบรับอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ มีสาขาของโฮมโปร 82 สาขา 11 สาขาของเมกา โฮม และสาขาโฮมโปร ที่ประเทศมาเลเซีย 3 สาขาตามลำดับ ทั้งนี้บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานในภาพรวมเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้