แสนสิริฯจับมือยักษ์ใหญ่ญึ่ปุ่น “โตคิว กรุ๊ป”ตั้งบริษัทร่วมทุนพัฒนาอสังหาฯชิมลางโครงการแรกคอนโดฯย่านเอกมัย มูลค่า2,000 ล้านบาท   หวังเพิ่มฐานลูกค้าแดนปลาดิบเพิ่มเป็น 15% อนาคตสนผุดเมืองใหม่-คอมมูนิตี้มอลล์ ด้านโตคิวฯเผยไทยเป็นฮับโลจิสติกส์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่างชาติแห่ลงทุนไม่ขาดสาย หนุนEEC โต วอนรัฐบาลเข้มกฎหมาย-อัตราแลกเปลี่ยน เพิ่มเสถียรภาพไทย

 

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)หรือSIRI เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับธุรกิจอสังหามากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯก็ไม่ได้หยุดนิ่งที่จะนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้กับโครงการของบริษัทอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทฯได้ร่วมมือกับ บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและให้บริการระบบรถไฟในเขตชานเมืองโตเกียว การพัฒนาเมืองและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกิจการโรงแรม รีสอร์ท และธุรกิจอื่นๆ และบริษัท สหโตคิว คอร์ปอเรชัน จำกัด ร่วมกันก่อตั้งบริษัท สิริ ทีเค วัน (Siri TK One Company Limited)ด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท  โดย กลุ่มแสนสิริถือหุ้น 70% กลุ่มโตคิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 29% และกลุ่มสหโตคิว ถือหุ้นสัดส่วน 1% เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม นำร่องเปิดตัวโครงการแรกภายใต้แบรนด์ “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์)ในทำเลเอกมัย 12 บนพื้นที่ 4 ไร่ เป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ขนาด 30-71.50 ตารางเมตร จำนวน 269 ยูนิต  มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วนราคาขายนั้นจะเปิดเผยได้ในวันที่ 3 กันยายน 2560 นี้ซึ่งเป็นวันที่เปิดขายครั้งแรกที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และเปิดขายพร้อมกันทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทยในวันที่ 16 กันยายน 2560

ความร่วมมือในครั้งนี้ บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) ยังเล็งเห็นศักยภาพของบริษัทฯที่ได้รับการยอมรับมาตลอดระยะเวลากว่า 33 ปี มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร เพื่อตอบรับทุกความต้องการของลูกค้า โดยในประเทศมีการพัฒนาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ด้วยจำนวนกว่า 318 โครงการ จำนวนที่อยู่อาศัยกว่า 86,000 ยูนิต ที่ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศกว่า 17 จังหวัด รวมทั้งการพัฒนาโครงการในตลาดต่างประเทศ 9 Elvaston Place ใจกลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นโครงการนำร่องของแสนสิริในการแสดงศักยภาพสู่สากล

 

โดยการร่วมมือกับพันธมิตรญี่ปุ่นในครั้งนี้จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มระยะยาว และเพิ่มฐานลูกค้าให้กับบริษัทฯคาดว่าจะสามารถช่วยผลักดันยอดขายของลูกค้าชาวญี่ปุ่นที่ซื้อโครงการของแสนสิริมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 15% จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 5% โดยโตคิวฯมีฐานลูกค้าที่จะมีการแนะนำเข้ามาให้รู้จักกับโครงการของแสนสิริมากขึ้น ซึ่งทำให้แสนสิริเป็นที่รู้จักของลูกค้าชาวญี่ปุ่นอย่างกว้างขวาง ส่วนยอดขายจากลูกค้าต่างชาติในปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะมียอดขายจากลูกค้าชาวญี่ปุ่นอยู่ที่ 500-1,000 ล้านบาท โดย 7 เดือนที่ผ่านมายอดขายจากลูกค้าต่างชาติทำได้แล้วอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท

 

นอกจากนี้การร่วมกับโตคิวฯ บริษัทได้มองไปถึงการสร้างเมืองแห่งใหม่อีกหนึ่งแห่งในอนาคต ซึ่งอยู่ระหว่างการมองหาทำเล โดยมีความเป็นไปได้ทั้งที่ดินที่เป็น Free Hold และที่ดิน Lease Hold ซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของการพัฒนาโครงการในแต่ละทำเล อีกทั้งยังสนใจที่จะพัฒนาโครงการในรูปแบบของคอมมูนิตี้มอลล์ด้วยเช่นกัน ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจา และในอนาคตก็มีความเป็นไปได้ที่บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)จะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรด้วย

 

“ปัจจุบันที่ดิน Free Hold  ในทำเลดีค่อนข้างหายากและราคาค่อนข้างสูง ทำให้ต้นทุนที่ดินมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นถึง 30% จากเดิมอยู่ที่ 15% และหากราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นไปอีกและผู้ซื้อไม่สามารถซื้อได้ ที่ดินประเภท Lease Hold ก็จะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกหนึ่งที่จะนำมาพัฒนา”นายอุทัย กล่าว

 

โตคิว กรุ๊ป เป็นบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น มีฐานกลุ่มธุรกิจที่กว้างขวางที่ มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทาวน์ อาทิ โครงการ Tokyu Tama Denen –Toshi ซึ่งมีพื้นที่กว่า 5,000 เฮกตาร์ ในเขตเขา Tama ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโตเกียว ซึ่งเชื่อมต่อสี่เมืองใหญ่ ทั้ง Kawasaki, Yokohama, Machida และ Yamato โดยอยู่ห่างจากศูนย์กลางโตเกียว เพียงแค่ 15 – 30 กิโลเมตร ในเมืองมีประชากรประมาณ 600,000 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2555 ) โดยปัจจุบันนับเป็นโครงการพัฒนาเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นที่ดำเนินการโดยบริษัทเอกชน รวมถึงยังมีโปรเจกต์การพัฒนา “ย่านชิบูย่า” ให้เป็น Entertainment City แลนด์มาร์คแห่งความบันเทิงที่ครบวงจรมากขึ้นในอนาคต

 

“อนาคตกรุงเทพฯ อาจจะคล้ายเมืองใหญ่ทั่วโลก คือเป็น Cluster/District หรือเป็นเมืองย่อยในเมืองใหญ่ ดังนั้นการเลือก Cluster ที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่สำคัญทั้งในแง่การใช้ชีวิตและการลงทุน สิ่งอำนวยความสะดวกจะไม่รวมศูนย์อยู่แค่กรุงเทพชั้นในเหมือนปัจจุบัน แต่จะกระจายออกไปยังพื้นที่อยู่อาศัยโดยรอบโดยการจับกลุ่มของเมืองย่อยหรือ Cluster จะเป็นไปตามสถานีรถไฟฟ้า แทนที่จะเป็นตามเขตปกครองหรือตามถนนเหมือนในอดีต โดยกรุงเทพฯ ยังอยู่ในช่วงระหว่างการขยายโครงข่ายคมนาคมที่ทำให้เชื่อว่ายังมีความต้องการที่อยู่อาศัยที่อยู่ทั้งตามแนวรถไฟฟ้าและอยู่ในเขตชุมชนต่างๆอีกมากในอนาคต ซึ่งแสนสิริและโตคิวมองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้สำหรับแผนความร่วมมือในอนาคตเพื่อมอบ Community ที่อยู่อาศัย ความบันเทิง โรงเรียนและสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจรเพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่ไม่จำเป็นต้องเกาะกลุ่มความเจริญแค่ในกรุงเทพฯ ชั้นในเพียงอย่างเดียวในอนาคต” นายอุทัย กล่าว

 

ส่วนการเปิดโครงการใหม่ของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่จำนวน 16 โครงการ มูลค่าประมาณ 40,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 22,300 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 16,100 ล้านบาทและทาวน์เฮาส์ 1 โครงการ มูลค่า 760 ล้านบาท และบริษัทยังมั่นใจยอดขายในปี 2560 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 40,000 ล้านบาท หลังยอดขาย 7 เดือนทำได้แล้วกว่า 17,000 ล้านบาท

 

ด้านนายโทชิยูคิ โฮชิโนะ กรรมการ และเจ้าหน้าที่ผู้จัดการบริหารอาวุโส/ผู้จัดการบริหารทั่วไป สำนักงานใหญ่ธุรกิจต่างประเทศ บริษัทโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า โตคิวคอร์ปอเรชั่น เริ่มดำเนินธุรกิจจากการก่อสร้างทางรถไฟสาย Meguro-kamata (เมกุโระ-คานาตะ) ในปี 2465  จนถึงในเดือนมีนาคม 2560 กลุ่มโตคิวมีบริษัทอยู่ภายใต้การดำเนินงานจำนวนทั้งสิ้น 221 บริษัท และบริษัทร่วมทุนอีก 8 แห่ง ภายใต้การดำเนินงานของ โตคิว คอร์เปอเรชั่น มีเครือข่ายธุรกิจครอบคลุมหลายภาคส่วน ตั้งแต่คมนาคม ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีกและโรงแรม ซึ่งประวัติศาสตร์อันยาวนานของ โตคิว คอร์ปอเรชัน เป็นบริษัทแม่ของกลุ่มบริษัทโตคิวที่จะบรรลุถึง 100 ปีเร็วๆนี้ และทางบริษัทให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตของชาวเมืองในประเทศญี่ปุ่นผ่านทางการพัฒนาเครือข่ายคมนาคมควบคู่ไปกับอสังหาริมทรัพย์ โดยการลงทุนและพัฒนาประกอบไปด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกด้านค้าปลีก โรงเรียนและโรงพยาบาล ซึ่งล้วนนำมาซึ่งความสะดวกและความน่าอยู่ตลอดตามเครือข่ายทางรถไฟของโตคิว และได้นำมาซึ่งชื่อเสียงของเมืองที่บริษัทได้สร้างขึ้นว่า เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุด นอกจากนั้น โตคิว คอร์ปอเรชัน ยังได้นำเสนอโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ Dresser ตามแนวคิด “ความคิดสร้างสรรค์” “ความน่าอยู่” และ “ความปลอดภัย”

 

การลงทุนในประเทศไทยนั้นที่ผ่านมา โตคิว คอร์ปอเรชัน ได้เข้าร่วมทุนกับบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2524 ก่อสร้างโครงการต่างๆมากมาย อาทิ  ถนนสายหลักๆ สะพาน อาคารที่ทำงาน โรงเรียน โรงงาน และล่าสุด ได้มีการส่งมอบการก่อสร้างทางรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ที่แล้วเสร็จ สำหรับธุรกิจค้าปลีก บริษัท ห้างสรรพสินค้า บางกอก-โตคิว จำกัด ได้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในกลุ่มลูกค้า ตั้งแต่เริ่มเปิดห้างแรกในปี 2528 และต่อมาได้มีการเปิดสาขาที่ 2 ในย่านศรีนครินทร์ ที่ ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ในปี 2557 นอกจากนี้ โตคิว คอร์ปอเรชันและสหกรุ๊ปยังได้ร่วมกันก่อตั้ง บริษัทร่วมทุน บริษัท สหโตคิว   คอร์ปอเรชั่น จำกัด ขึ้น และได้เข้าบริหารอาคารอพาร์ตเมนต์พร้อมบริการ “HarmoniQResidence Sriracha” สำหรับชาวญี่ปุ่นและครอบครัว เมื่อปี 2559 และก็เป็นที่น่าพอใจ ที่โครงการ “HarmoniQ Residence Sriracha” ได้มีลูกค้าเต็มมาโดยตลอด

 

การร่วมทุนกับแสนสิริในครั้งนี้เพราะมองว่ามีปรัชญาและวิสัยทัศน์ที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งนับเป็นความท้าทายของโตคิว ซึ่งในอนาคตโตคิวฯอยากจะพัฒนาหลายโครงการ แต่ทั้งนี้ขอดูผลตอบรับจากโครงการแรกก่อน หากประสบความสำเร็จจึงจะมีโครงการต่อไปในอนาคต

 

“ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในหลากหลายธุรกิจ เพราะมองว่าประเทศไทยเป็นฮับด้านโลจิสติกส์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยิ่งรัฐบาลไทยให้การสนับสนุนเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ทำให้นักลงทุนมีความสนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่กลุ่มโตคิวจะพัฒนาโครงการร่วมกับแสนสิริ ในพื้นที่ศรีราชา ซึ่งมีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็อยากให้รัฐบาลไทยเข้มงวดในเรื่องกฎหมายต่างๆมากขึ้น เช่น ภาษีต่างๆและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา เป็นต้น เพราะจะทำให้ประเทศไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น”นายโฮชิโนะ กล่าว

 

นอกเหนือจากนั้นความพยายามในด้านการค้นคว้าและพัฒนาร่วมกันในความสัมพันธ์นี้ โตคิวเองก็พร้อมที่ใช้พลังด้านธุรกิจที่มีอยู่ในการสนับสนุนโครงการให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นโดยผ่านทาง Tokyu Livable ความเชี่ยวชาญในการขาย ให้เช่า และการให้คำปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์ จะช่วยขยายศักยภาพทางธุรกิจของเราในกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่น เพื่อผลประโยชน์สูงสุดร่วมกันและเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ยั่งยืน นี่คือความร่วมมือทางธุรกิจระยะยาวที่จะเพิ่มพูนมูลค่าสำหรับทั้งสององค์กรต่อไปอย่างยั่งยืน

 

** prop2morrow โดย คุณวาสนา กลั่นประเสริฐ  เบอร์โทร.02-632-0645 E-mail : was_am999@yahoo.com