พฤกษาฯหันเพิ่มพอร์ตตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบครึ่งปีหลังรุกบ้านเดี่ยว5-10ล้านบาท และทาวน์เฮาส์3-5 ล้านบาทหวังลดยอดรีเจค  ปลื้มครึ่งแรกปี2560ทำยอดขายได้ 26,150 ล้านบาท โต 20.9% คาดครึ่งปีหลังรายได้-กำไรพลิกเป็นบวก มั่นใจยอดขายรวมตามเป้า52,900 ล้านบาท หวั่นผู้ประกอบการรายกลาง-เล็กหาแหล่งเงินทุนลำบาก ส่วนรายใหญ่หันร่วมทุนต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่นได้โนว์ฮาว-เม็ดเงินลงทุนระยะยาว

 

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน)ในเครือบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน)หรือPSH เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามียอดขายที่เติบโตขึ้น 15.9% ถือว่าเติบโตมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และคาดว่าในปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ 7% โดยมูลค่าตลาดรวมคอนโดฯในช่วงครึ่งปีแรก อยู่ที่ 106,954 ล้านบาท โดยพฤกษาฯมีส่วนแบ่งคอนโดฯจากตลาด อยู่ที่ 10,537 ล้านบาท ส่วนตลาดบ้านเดี่ยว ลดลงกว่า 5%  อยู่ที่ 49,449 ล้านบาท ซึ่งพฤกษาฯมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 4,348 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีการฟื้นตัวเนื่องจากผู้ประกอบการมีการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมถึงพฤกษา มีการรุกตลาดพรีเมียมเพื่อขยายฐานลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง และมีการขยายธุรกิจอื่นๆที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง

จากการที่ในช่วงครึ่งปีแรกยอดขายจากโครงการระดับกลาง-ล่าง โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเดี่ยวค่อนข้างมีปัญหามียอดยกเลิกลดลงไปจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 13.8% โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากบ้านเดี่ยวมีซัพพลายออกมาน้อย ที่ดินหายากและราคาแพง  สำหรับในครึ่งปีหลัง2560 บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ตลาดแนวราบใหม่ ด้วยการเพิ่มพอร์ตการพัฒนาบ้านเดี่ยวราคา 5-10 ล้านบาทเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยประสบปัญหาการถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน(Reject) และในขณะเดียวกันจะลดสัดส่วนการพัฒนาบ้านเดี่ยวราคา 3-5 ล้านบาทลง  เพราะเป็นตลาดมีปัญหาในเรื่องของกำลังซื้อ มีผลต่อการถูกปฏิเสธสินเชื่อ และยอดการยกเลิกที่สูงสัดส่วนถึง 30% ส่วนโครงการทาวน์เฮาส์ จะหันมาเน้นระดับราคา 3-5 ล้านบาทมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตที่สูง

 

ส่วนตลาดคอนโดมิเนียม จะมุ่งเน้นกลุ่มราคา 2-3 ล้านบาทมากขึ้น ซึ่งพฤกษาเป็นผู้นำในตลาดนี้อยู่ และจะลดสัดส่วนโครงการราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทลง ที่มีปัญหาในเรื่องการปฎิเสธสินเชื่อสูงเช่นเดียวกัน

 

ทั้งนี้บริษัทฯจะมุ่งเน้นพัฒนาบ้านพร้อมอยู่ในโครงการใหม่มากขึ้น และดำเนินการตรวจสอบคัดกรองลูกค้าในเบื้องต้นก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดยอดรีเจคเพิ่มขึ้น

สำหรับตลาดต่างจังหวัดบริษัทมีแผนการพัฒนาโครงการที่อยู่ในเขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)อาทิ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา  เนื่องจากมีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น จากการที่ภาคเอกชนได้เข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC อีกทั้งราคาที่ดินก็ยังไม่สูงมาก จึงยังสามารถเข้าไปพัฒนาโครงการได้อย่างต่อเนื่อง

ครึ่งแรกปี’60ยอดขายเพิ่ม 20.9%

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก 2560 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 26,150 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 20.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 ที่มียอดขาย  21,635 ล้านบาท โดยยอดขายที่เติบโตขึ้นมาจากการเปิดขายคอนโดมิเนียมใหม่ 3 โครงการ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า คือ เดอะทรี สุขุมวิท 71-เอกมัย  เดอะรีเซิร์ฟ ทองหล่อ และแชปเตอร์วัน ชายน์ บางโพ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังสามารถทำรายได้รวม 20,554 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,425 ล้านบาท

ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่พลิกกลับมาเป็นบวกได้ทั้งรายได้และกำไร หลังจากที่ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา รายได้และกำไรของบริษัทปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ได้ปรับตัวลดลง 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือมีรายได้อยู่ที่ 20,500 ล้านบาท

“ในช่วงครึ่งปีแรกที่รายได้และกำไรของบริษัทปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาไม่มีมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์อย่างเช่นในช่วงครึ่งปีแรกของปีที่ผ่านมา ประกอบกับบริษัทได้รับผลกระทบในเรื่องการโอนโครงการบ้านเดี่ยวที่ลดลง  โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ที่ได้รับผลกระทบในเรื่องอัตราการปฏิเสธสินเชื่อและยอดการยกเลิกที่สูง ทำให้กระทบในแง่รายได้ และมีโครงการคอนโดมิเนียมใหม่โอนน้อยในช่วงครึ่งปีแรก”นายปิยะ กล่าว

อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังการฟื้นตัวขึ้นของผลการดำเนินงานจะมาจากการที่บริษัทมีโครการคอนโดมิเนียมใหม่ที่รอโอนอีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 6,820 ล้านบาท    อีกทั้งยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังที่จะเข้ามาอีก 12, 000 ล้านบาท จากยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ในครึ่งปีแรกที่มีอยู่ 29,00 ล้านบาท ซึ่งทำให้บริษัทมั่นใจว่าได้รายได้ในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 50,200 ล้านบาท

 

ดังนั้นแนวโน้มยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะทำได้มากกว่าครึ่งปีแรกที่ 26,150  ล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะเปิดโครงการใหม่มากขึ้นกว่าครึ่งปีแรก โดยมีจำนวนการเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 39 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 36,200 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกที่มีจำนวนโครงการใหม่เปิดไปแล้ว 33 โครงการ มูลค่าโครงการ 32,100 ล้านบาท ซึ่งบริษัทยังมั่นใจว่ายอดขายในปีนี้มีโอกาสทำได้ตามเป้าหมายที่ 52,900 ล้านบาท

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท – พรีเมียม PSH  กล่าวว่า โครงการในกลุ่มพรีเมียมมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีอัตราการเติบโตถึง 360%ทั้งนี้ มีแผนจะเปิดขายโครงการใหม่ คือ เดอะรีเซิร์ฟ พหลโยธิน – ประดิพัทธ์  มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ในช่วงเดือน กันยายน นี้ และจะทยอยเปิดตัวโครงการอื่นๆในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดพรีเมี่ยมในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเป็น 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ 5% และจะทำให้พอร์ตคอนโดฯระดับพรีเมี่ยมของบริษัทฯเพิ่มขึ้นเป็น 30% จากปัจจุบันอยู่ที่ 18% และมีรายได้อยู่ที่ 80,000-90,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 20-30% จากรายได้รวมของพฤกษาฯ

 

ทั้งนี้ที่ผ่านมากลุ่มตลาดคอนโดฯระดับพรีเมียมยังคงเติบโตมาก แต่ส่วนใหญ่เติบโตแบบกระจุกตัว จากผู้ประกอบการเพียงไม่กี่ราย ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ต่างมีจุดขายเป็นของตนเอง  โดยคอนโดฯพรีเมียมที่ราคาสูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิต เติบโตมากถึง 90% ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งยังคงเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับตลาดล่างที่มีปัจจัยกดดันเรื่องหนี้ครัวเรือน โดยปัจจุบันลูกค้าของพฤกษาฯมียอดรีเจค เฉลี่ยอยู่ที่ 16 – 17%

 

นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า ในครึ่งปีหลังนี้ค่อนข้างน่าห่วงเพราะแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการอสังหาฯค่อนข้างยากลำบาก เพราะในช่วงครึ่งปีแรกตลาดตราสารหนี้ได้รับผลกระทบจากปัญหาการผิดชำระคืนเงินให้กับผู้ถือหน่วยของตราสารหนี้ ทำให้ออกหุ้นกู้และตั๋วสัญญาแลกเงินระยะสั้นค่อนข้างยาก เพราะนักลงทุนไม่ค่อยกล้าเข้าไปซื้อ เนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ส่งผลให้ผู้ประกอบการขนาดกลาง-เล็ก ได้รับผลกระทบในเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่นั้นหันไปร่วมทุนกับกลุ่มทุนต่างชาติมากขึ้น เพื่อง่ายต่อการรองรับการเติบโตของบริษัทและนำเงินมาลงทุนได้โดยตรง ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มทุนจากญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุด น่าไว้ใจได้ในการร่วมทุนระยะยาว มีไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยและมีจุดแข็งเรื่องการออกแบบโดยเฉพาะห้องขนาดเล็กและห้องสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นประเทศที่มีความชำนาญเรื่องดังกล่าวมากที่สุด โดยที่ผ่านมามีผู้ประกอบการไทยร่วมทุนกับญี่ปุ่นแล้วประมาณ 7 ราย ส่วนของพฤกษาฯเองนั้นยังไม่มีนโยบายร่วมทุนกับใคร เพราะมีฐานการเงินที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องร่วมทุนซึ่งนั่นหมายความว่าต้องแบ่งผลกำไรให้พันธมิตรด้วย ทำให้ไม่ได้ผลกำไรเอง100%

 

** prop2morrow โดย คุณวาสนา กลั่นประเสริฐ  เบอร์โทร.02-632-0645 E-mail : was_am999@yahoo.com