เพซฯแจงเหตุ ไตรมาส 2/2560 บริษัทพลิกกำไร 5,310 ล้านบาท เกิดจากการรับรู้เงินลงทุนด้วยราคายุติธรรมของกิจการร่วมค้า 2 บริษัท แยก 3 ธุรกิจตามเกณฑ์หลัง อพอลโล-โกลด์แมน แซคส์ เข้ามาถือหุ้น ระบุที่ปรึกษาอิสระชั้นนำโลกตีมูลค่ายุติธรรมจำนวน 8,231 ล้านบาทเหมาะสม เหตุไทยเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยว มั่นใจเปิดจุดชมวิวต้นปีหน้ารับนักท่องเที่ยวจีน

 

​นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PACE เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2560 ว่า บริษัทมีกำไร 5,310 ล้านบาท มีสาเหตุมาจากการรับรู้เงินลงทุนด้วยราคายุติธรรมของกิจการร่วมค้า 2 บริษัท โดยทางบริษัทฯ ได้เคยเปิดเผยตามหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อที่ 29 ในงบการเงินไตรมาสที่  1 แล้ว ว่ากิจการร่วมค้าทั้ง 2 แห่งซึ่งพัฒนา โครงการ โรงแรม พื้นที่ศูนย์การค้า และ จุดชมวิว ใหม่ จากเดิมที่บริษัทใช้วิธีส่วนได้ส่วนเสียบันทึกเป็นงบการเงินรวม แต่ภายหลังจากที่โครงการมหานครในส่วนโรงแรม จุดชมวิว และพื้นที่ศูนย์การค้า ได้มีผู้ร่วมทุนระดับโลก คือ อพอลโลและโกลแมน แซคส์ เข้าร่วมลงทุนในสัดส่วน 49% พร้อมส่งกรรมการเข้ามาร่วมด้วย และมีส่วนร่วมในการบริหารงานโครงการและการดำเนินงาน ทำให้บริษัทสูญเสียอำนาจการควบคุม จำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการบันทึกแบบส่วนได้ส่วนเสีย มาเป็นเงินลงทุนในบริษัทร่วมค้าแทน

​ทางบริษัทได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงินอิสระชั้นนำของโลก เพื่อทำการประเมินมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน โดยใช้วิธีประมาณการรายได้ (Income approach) โรงแรม จุดชมวิว และพื้นที่ศูนย์การค้า ในอนาคต และคำนวณคิดลดกระแสเงินสดมาเป็นปัจจุบัน พบว่าเงินลงทุนดังกล่าวมีมูลค่ายุติธรรม 8,231 ล้านบาท จึงได้บันทึกในงบแสดงฐานะการเงินรวม และบันทึกเป็นการรับรู้รายได้จากผลกระทบจากการสูญเสียการควบคุมในบริษัทย่อย จำนวนเงิน 8,856.6 ล้านบาท ทำให้มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2 จำนวน 5,310 ล้านบาท ส่วนกรณีผู้สอบบัญชีไม่สามารถให้ข้อสรุปต่องบกำไร-ขาดทุนรวมของบริษัทนั้น เนื่องจากเห็นว่า ไม่มีจุดชมวิวในประเทศไทยมาเทียบเคียงเพื่อเปรียบเทียบและเป็นธุรกิจใหม่ของไทย

 

​มูลค่าทั้ง 3 ส่วนในอาคารมหานครเป็นสินทรัพย์ที่สามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะส่วนของจุดชมวิวมาตรฐานระดับโลกแห่งแรกในไทย ซึ่งเพซฯตั้งใจพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำเทียบเท่าจุดชมวิวในเมืองหลวงอื่นๆ ของโลก โดยคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้กับโครงการในระยะยาว ซึ่งผู้ประเมินอิสระได้ทำการประเมินโดยอ้างอิงจากสถิติรายได้ของจุดชมวิวชั้นนำทั่วโลกจำนวน 9 แห่ง และเปรียบเทียบจำนวนนักท่องเที่ยวต่อปีของแต่ละประเทศ อาทิ ตึกเอ็มไพร์ สเตท ของนิวยอร์ค ,ตึกบุรจญ์ คาลิฟะฮ์ ของดูไบ และ โตเกียว ทาวเวอร์ ของญี่ปุ่น โดยสถิติจากตึกเอ็มไพร์ สเตท พบว่า รายได้จากจุดชมวิวเพียง 1 ชั้น มีมูลค่ามากกว่ารายได้ค่าเช่าพื้นที่สำนักงานจำนวน 99 ชั้นรวมกัน”นายสรพจน์ กล่าว

 

สำหรับจุดชมวิวของมหานครได้รับการออกแบบที่ทันสมัย โดยมีการติดตั้งลิฟต์ความเร็วสูงที่สุดในไทย และมีกิมมิคพื้นกระจกใสยื่นออกจากตัวอาคาร นับเป็นจุดชมวิวแห่งแรกในประเทศไทยที่มีมาตรฐานเทียบเท่าจุดชมวิวในเมืองใหญ่ๆ ชั้นนำของโลก และสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้มากกว่า 3 ล้านคนต่อปี

 

กรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับจากมาสเตอร์ การ์ด ให้เป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 1 ของโลกในปี 2559 โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวมากถึง 21.47 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนมากที่สุด โดยโครงการมหานครซึ่งมีรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ส่วนพิกเซลเป็นเกลียวล้อมตัวอาคาร เปรียบเสมือนมังกรที่โอบพันตัวอาคารตามหลักฮวงจุ้ยและเป็นสัญลักษณ์มงคลตามความเชื่อของชาวจีน ซึ่งแผนการเปิดตัวจุดชมวิวนั้นตั้งเป้าที่จะเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการภายในปลายปี2560นี้ และจะเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบในช่วงตรุษจีนปีหน้า เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะเดินทางมายังกรุงเทพฯ และคาดว่าจะได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากทั้งชาวไทยและต่างชาติ

 

นายสรพจน์ กล่าวต่อว่า ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไฮเอนด์ของไทย นอกจากการพัฒนาที่พักอาศัยคุณภาพระดับโลกแล้ว เพซมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตที่ดีในหลากหลายมิติด้วยการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านการท่องเที่ยวที่สามารถสร้างรายได้ต่อเนื่องให้กับบริษัท และยังสอดคล้องกับธุรกิจท่องเที่ยวที่สร้างรายได้สูงสุดและมีชื่อเสียงของประเทศ