ทีมงานprop2morrow.com รวบรวมผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกปี2560 ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบส่วนใหญ่ผลประกอบการด้านกำไรลดลง ยอดขายโดยรวมต่ำกว่าคาด สะท้อนกำลังซื้อชะลอตัวต่อเนื่อง หลายรายประเมินภาพรวมธุรกิจผ่านจุดต่ำสุดแล้ว คาดครึ่งหลังของปียอดขายกระเตื้อง โหมเปิดตัวโครงการใหม่ กางตำราการตลาดงัดกลยุทธ์ชิ่งกำลังซื้อควบคู่ไปกับระบาย inventory โดยเฉพาะสินค้าประเภทคอนโดมิเนียม มีแนวโน้มการขายคอนโดฯที่สร้างเสร็จแล้วหากล่าช้ากว่าคาด ซึ่งที่สุดแล้วก็จะกระทบต่อยอดโอน อาทิ บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)หรือ LPN ลดลงทั้งรายได้และกำไรสุทธิ ในไตรมาส 2/2560 ลดลง 631 ล้านบาท จาก 879.78 ล้านบาทเป็น 248.78 ล้านบาทหรือลดลง 71.72%  ส่วนใหญ่ประมาณ 72% เป็นสินค้าค้างขาย และมีกำไรสุทธิในงวด 6เดือนปี 2560 สิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2560 ลดลง 64.43% มาอยู่ที่จำนวน 563 ล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิที่ 1,583 ล้านบาท

 

บมจ. พฤกษา โฮลดิ้ง หรือPSH ในช่วงไตรมาส2/2560 ทำยอดขายได้ 12,846  ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส2/2559 ซึ่งอยู่ที่ 11,826  ล้านบาท มีรายได้รวมจากการดำเนินงานทั้งสิ้น 12,481 ล้านบาท  ลดลงเล็กน้อยจากช่วงไตรมาส2/2559 ซึ่งอยู่ที่ 13,605  ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาส2/2560 อยู่ที่ 1,744 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปี2559 ที่มีจำนวน 1,833  ล้านบาท  ส่วนผลประกอบการด้านกำไรในช่วง 6 เดือนแรกปี2560 นั้นได้เท่ากับ 2,425 ล้านบาท ลดลง 21.09%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ได้เท่ากับ 3,073 ล้านบาท  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://prop2morrow.com/2017/08/15

 

บมจ. ศุภาลัย  หรือ SPALI  และบริษัทย่อย มีผลประกอบการงวดไตรมาส2/2560 และงวด6เดือนสิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2560 ดังนี้ผลการดําเนินงานของบริษัทฯและบริษัทย่อยสําหรับงวดไตรมาส 2/2560เทียบไตรมาส 2/ 2559 คือ 1). รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์เท่ากับ 5,908.93 ล้านบาท ลดลง 319.28 ล้านบาท หรือลดลง 5%จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ได้จำนวน 6,228.21 ล้านบาท  แบ่งเป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านและทาวน์เฮ้าส์ 55% และที่เหลือ 45% เป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ อาคารชุด สาเหตุหลักที่รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ ลดลงเนื่องมาจากเดือนเมษายน 2559 อยู่ในช่วงที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์จาก 2 % เหลือ 0.01 %ทําให้ลูกค้าเร่งโอนกรรมสิทธิ์

 

2). ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของบริษัทฯและบริษัทย่อยคิดเป็น 11.6% เมื่อเทียบกับรายได้รวม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่9.9% เนื่องจากในช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นช่วงที่บริษัทฯได้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ และ3). กําไรสุทธิเท่ากับ 1,328.35 ล้านบาทลดลง 106.85 ล้านบาทหรือลดลง 7% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ได้เท่ากับ 1,435.20  ล้านบาท  มาจากรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ลดลง และค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้น

 

ส่วนผลการดําเนินงานของบริษัทฯและบริษัทย่อยสําหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2560 และงวด 6 เดือนปี 2559มีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์เท่ากับ 9,549.08 ล้านบาท ลดลง 23%หรือลดลงจำนวน 2,809.86 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ได้ 12,358.94  ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านและทาวน์เฮ้าส์57% และที่เหลือ 43% เป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุด สาเหตุที่รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ลดลงเนื่องจากโครงการอาคารชุดส่วนใหญ่ที่ครบกําหนดโอนในปี 2560 จะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ เพิ่มขึ้นในไตรมาส 3 และ 4 ปี2560

 

จากเหตุผลข้างต้น ทําให้ผลประกอบการสําหรับงวดครึ่งปีแรกของปีนี้กําไรสุทธิลดลงเป็น 2,014.86 ล้านบาท ขณะที่ในงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 2,831.84 ล้านบาท ลดลง 816.98 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 29%

 

อนึ่ง ณ 30 มิถุนายน 2560 บริษัทฯและบริษัทย่อย มียอดสัญญาที่ลูกค้าซื้อบ้านและ/หรืออาคารชุดพักอาศัยแล้วแต่ยังไม่ถึงกําหนดโอนให้ลูกค้า 37,443 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถทยอยโอนให้ลูกค้าและสามารถรับรู้ เป็นรายได้ในอีก 6 เดือนข้างหน้าในปี2560 จํานวน 10,351 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ 27,092 ล้านบาทในอีก 3 ปีถัดไป ทั้งนี้ยอดสัญญาที่รอส่งมอบหมายถึงยอดจํานวนเงินรวมของบ้านและ/หรืออาคารชุดพักอาศัยที่รอหรืออาคารชุดพักอาศัยที่รอโอนซึ่งบริษัทฯและบริษัทย่อยจะทยอยรับรู้รายได้ในอนาคตตามมาตรฐานการบัญชีคือรับรู้รายได้เมื่อโอนกรรมสิทธิ์

 

บมจ. แสนสิริ หรือ SIRI มีรายได้รวมจากการดำเนินงานไตรมาส2/2560ทั้งสิ้น 8,660 ล้านบาท  ขณะที่งวดไตรมาส2/2559 อยู่ที่ 8,238 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 804 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี2559 ซึ่งอยู่ที่ 622 ล้านบาท ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่1/2559 คืออยู่ที่ 9.30% น้อยลงกว่าช่วงเดียวกันของปี2559 ซึ่งอยู่ที่ 17%

“อนันดา-ออริจิ้น” ดาวเด่นกอดคอกันโต

 บมจ. อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ ANAN มีผลประกอบการด้านยอดขายงวดไตรมาส2/2560 เท่ากับ 11,051 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นถึง 220%จากไตรมาส2/2559 ซึ่งอยู่ที่ 3,454ล้านบาท และมีรายได้รวมจากการดำเนินงานทั้งสิ้น 3,752 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 30%จากช่วงเดียวกันของปี2559 อยู่ที่ 2,889 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 279  ล้านบาท สูงกว่าไตรมาส/2559 อยู่ที่จำนวน 210  ล้านบาท  ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิเท่ากับช่วงเดียวกันของปี 2559อยู่ที่ 7% และประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นสถิติสูงสุด  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://prop2morrow.com/2017/08/08

 

บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  หรือ ORI  ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2560 ของบริษัท มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 550.7 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากไตรมาส 2/2559 ถึง 145.2% คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับร 46.1% ขณะเดียวกัน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 238.7 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 226.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 20.3 % โดยรวมครึ่งปีกวาดกำไรไปแล้ว 410.7 ล้านบาท สวนกับทิศทางของภาพรวมตลาด อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://prop2morrow.com/2017/08/15/ori

 

บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์  โกลเด้นแลนด์ หรือ GOLD ทำยอดขายได้ 5,449 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส2/2559 ซึ่งอยู่ที่ 3,534  ล้านบาท และมีรายได้รวมจากการดำเนินงานทั้งสิ้น 3,162 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2559 ซึ่งอยู่ที่ 2,789 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 291ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส2/2559 อยู่ที่จำนวน 358 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 30% ลดลงจากไตรมาส2/2559 อยู่ที่ 33%

 

QH ทั้งกำไร-รายได้ทรุด !  สวนทางLH-APผลประกอบการโตโดดเด่น

บมจ. ควอลิตี้เฮ้าส์ หรือ QH และบริษัทย่อย มีผลกำไรจากการดำเนินงาน สำหรับงวดไตรมาส 2และยอดสะสม 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560 ลดลงจำนวน 119 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 13%และ 210 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 13%เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน (ตามลำดับ) ส่วนรายได้รวมสำหรับไตรมาส 2 / 2560และไตรมาส 2/2559จำนวน 4,485 ล้านบาท และ 5,522ล้านบาท (ตามลำดับ )ลดลงจำนวน 1,037 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 19% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และยอดสะสม 6 เดือน สิ้นสุดไตรมาส 2/2560 และไตรมาส2/ 2559 จำนวน 7,986 ล้านบาท และ 10,776 ล้านบาท (ตามลำดับ)ลดลงจำนวน 2,790 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 26% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

 

บมจ. เอพี(ไทยแลนด์) หรือ AP  ไตรมาส2/2560 มีผลประกอบการกำไรสุทธิจำนวน 613 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 ที่ทำได้จำนวนกว่า 526 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนของปี 2560 สิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน มีกำไรสุทธิจำนวนกว่า 1,161 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 18% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2559 ที่ได้จำนวน 980 ล้านบาท  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://prop2morrow.com/2017/08/11

 

บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ หรือLH และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 2,630.93 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 978.10 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 37.18% เกิดขึ้นจาก 1). ในไตรมาสที่2 /2560 บริษัทฯมีรายได้จากการขาย 9,201.51 ล้านบาทในขณะที่งวดเดียวกันของปี ก่อนมีรายได้จากการขาย 7,211.26 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจำนวน 1,990.25 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 27.60%  2). ในไตรมาสที่ 2 /2560 บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย  36.27%ในขณะที่งวดเดียวกันของปี ก่อน มีอัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย  35.34% อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 0.93% (ผลจากข้อ 1. และ 2. ทำให้กำไรขั้นต้นของบริษัทฯเพิ่มขึ้นจำนวน 789.33 ล้านบาท)

 

และ 3). ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 บริษัทฯ มีกำไรจากการขายโรงแรม แกรนด์เซ็นเตอร์พ้อยท์ ราชดำริ จำนวน 2,080.10 ล้านบาท คิดเป็นส่วนของบริษัทฯ จำนวน 1,248.06 ล้านบาทในขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯ มีกำไรจากการขายที่ดินรอการพัฒนาจำนวน 21,240.00 ล้านบาท คิดเป็นส่วนของบริษัทฯ จำนวน 682.00 ล้านบาท ดังนั้นกำไรจากรายการพิเศษของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 566.06 ล้านบาท

 

สำหรับผลประกอบการด้านกำไรงวด 6 เดือน ปี 2560 สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2560 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 5,382.59 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 4,626.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 756.15 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 16.34% เกิดจาก 1). ใน 6 เดือนแรกของ ปี 2560 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 15,570.86 ล้านบาทในขณะที่งวดเดียวกันของปี ก่อนมีรายได้จากการขาย 14,227.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,343.84 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 9.45% 2). ใน 6 เดือนแรกของ ปี 2560 บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายเท่ากับ 35.75% ในขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อน มีอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายเท่ากับ 34.83 % อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 0.92% (ผลจากข้อ 1. และ 2. ทำให้กำไรขั้นต้นของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจำนวน 611.54 ล้านบาท)

 

และ3). ในช่วง 6 เดือนแรกของ ปี 2560 บริษัทฯ มีกำไรจากการขายโรงแรม แกรนด์เซ็นเตอร์พ้อยท์ ราชดำริ  2,080.10 ล้านบาท คิดเป็นส่วนของบริษัทฯ จำนวน 1,248.06 ล้านบาท ในขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯ มีกำไรจากการขายที่ดินรอการพัฒนา 1,240.00 ล้านบาท คิดเป็นส่วนของบริษัทฯ จำนวน 682.00 ล้านบาท ดังนั้นกำไรจากรายการพิเศษของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 566.06 ล้านบาท

 

LPN กำลังซื้อหายรายได้ลด-ฉุดกำไรไตรมาส2/2560ลดลงกว่า71%

โดย บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)หรือ LPN และบริษัทย่อยที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯมีรายได้ในไตรมาส 2/2560 จำนวน 2,038.31 ล้านบาท ลดลง 3,124.52 ล้านบาทจากไตรมาส 2/2559 หรือลดลง 60.52% ซึ่งรายได้หลักมาจากรายได้จากการขายกว่า 90% ซึ่งลดลงจาก 4,980.73 ล้านบาทในปี 2559 เป็น 1,817.28 ล้านบาทในปี 2560 หรือลดลง 63.51% เนื่องจากลุ่มลูกค้าหลักที่มีรายได้ระดับกลางถึงกลาง-ล่างเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือน ความเข้มงวดของสถาบันการเงินมีผลต่อการปฎิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 2 / 2560 บริษัทมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเพียง 1 โครงการ ได้แก่ ลุมพินี วิลล์ ราชพฤกษ์-บางแวก มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท

 

เนื่องจากรายได้จาการขายลดลงส่งผลประกอบการด้านกำไรสุทธิของLPN ในไตรมาส 2/2560 ลดลง 631 ล้านบาท จาก 879.78 ล้านบาทเป็น 248.78 ล้านบาทหรือลดลง 71.72%  ส่วนใหญ่ประมาณ 72% เป็นสินค้าค้างขายแต่ยังคงรักษาระดับกำไรขั้นต้นไว้ที่ 30% ของรายได้ อีกทั้งบริษัทฯมีการควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 31.25%

 

ในไตรมาส 2 / 2560 LPN ได้มีการเปิดตัว 3 โครงการ ได้แก่ 1)  โครงการลุมพินี พาร์คบีชชะอำ2 ,2)  โครงการ ลุมพินี สวีท ดินแดง-ราชปรารภ และ 3) โครงการ เดอะ ซีเล็คเต็ด เกษตร-งามวงศ์วาน บาย แอล.พี.เอ็น. มูลค่ารวมประมาณ 3,150ล้านบาท ทำให้ครึ่งปีแรกของปี 2560 บริษัทได้เปิดตัวขายไปแล้วทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวมทั้งหมดประมาณ 8,350 ล้านบาท โดยมียอดขายที่ทำได้แล้ว 9,400 ล้านบาท

ปักหมุดแนวราบระดับบนราคา15 ล้านอัพ!

ช่วงครึ่งปี หลังของปี 2560 บริษัทมีโครงการที่จะแล้วเสร็จพร้อมส่งมอบอีก 5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3,870 ล้านบาท และมีแผนเปิดตัวเพิ่มอีก 5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 11,650 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ 30 มิถุนายน 2560 บริษัทมี Backlog รวม 7,074 ล้านบาทแยกเป็นปี 2560 จำนวน 2,862 ล้านบาท ปี 2561 จำนวน 4,010 ล้านบาท และปี 2562 จำนวน 202 ล้านบาท และของบริษัทย่อยอีก 356 ล้านบาท

 

โดยหนึ่งในโครงการที่จะเปิดใหม่ของ LPN นั่นจากข้อมูลที่ระบุในรายงานการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์บล. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  ก็คือ โครงการแนวราบระดับบนจะเริ่มเปิดตัวโครงการแนวราบระดับบนต้นปี 2561 บริเวณพระราม3-วงแหวนอุตสาหกรรม มูลค่าโครงการประมาณ 3,100 ล้านบาท มีทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท นอจากนี้ยังมีโครงการ ยังมีคอนโด Lumpini Place มูลค่าประมาณ 1,700 ล้านบาท อยู่ในบริเวณเดียวกันด้วยซึ่งจะเปิดตัวก่อนในไตรมาส 4/2560 โครงการนี้LPN ค่อนข้างมั่นใจจะสามารถปิดโครงการได้ภายใน 1 ปีเพราะทำเลที่ตั้งดีแทบไม่มีคู่แข่งที่ทำโครงการแนวราบกลางเมือง

 

ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว การแข่งขัน และอัตรากำไรต่ำกว่าคาดและปัจจัยแวดล้อมอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นลูกค้า ยังเป็นปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะในประเด็น การยื่นขอสินเชื่อของผู้บริโภคที่เผชิญกับการปฎิเสธการปล่อยกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งผู้ประกอบการพยายามที่จะบอกผ่านสื่อไปยังรัฐบาลที่ขณะนี้ยังไม่มีเสียงตอบรับกลับมาใดๆทั้งสิ้น ..แต่ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการหลายรายก็ออกมาประสานเสียงกันว่าธุรกิจอสังหาฯได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วจะค่อยๆดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 พร้อมๆไปกับการปรับตัวของดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ที่ต่างก็หวังว่าแนวโน้มอัตรากำไรจะดีขึ้น จากการปรับกระบวนการก่อสร้างและเริ่มโอนคอนโด โมเมนตั้มในการขายโครงการเดิมจะเริ่มดีขึ้นจากกลยุทธ์การตลาดและการขายผ่านเกม “ลดราคา” เพื่อเร่งระบายโครงการเดิมบางรายถึงกับลดราคาให้พนักงานช่วยขายและจ่ายค่าคอมมิชชัน (Commission)ให้กับพนักงาน

 

ส่วนดีเวลลอปเปอร์ที่ JV กับต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น เอพี,อนันดา, ออริจิ้น,เสนาฯ เป็นต้น ล้วนต่างได้ปรับเพิ่มเป้าหมายการเปิดตัวโครงการใหม่ควบคู่ไปกับเป้ายอดขาย ซึ่งการ JV กับกลุ่มทุนต่างชาตินี้ นอกจากจะช่วยขยายธุรกิจเชิงรุกได้มากขึ้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดคอนโดฯรวมถึงเพิ่มโอกาสในธุรกิจอื่นๆ ได้ด้วย และก็ยังมีอีกหลายรายที่ประกาศตัวพร้อมเปิดกว้างร่วมทุนกับกลุ่มทุนข้ามชาติ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ เอสซี แอสเสท ….!!!!