“ออริจิ้น”หรือ ORI ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่โตเร็วที่สุดรายหนึ่ง หลังจากที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงเดือนตุลาคม 2558 หากพิจารณาถึงเส้นทางการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากอดีตที่ผ่านมา  8 ปีกับ 38 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 36,000 ล้านบาท และสร้างเสร็จกว่า 20 โครงการนั้น “ออริจิ้น” จะใช้กลยุทธ์ทั้งการขยายการพัฒนาโครงการด้วยบริษัทเองทั้งจำนวนโครงการที่เปิดใหม่และสถานที่ตั้งที่หลากหลายและส่วนใหญ่จะอยู่ตามแนวรถไฟฟ้า นอกจากนี้ “ออริจิ้น” ยังใช้กลยุทธ์ด้วยการเข้าไปซื้อกิจการของผู้ประกอบการในกลุ่มสินค้าและราคาที่ที่บริษัทขาดเพื่อมาเติมเต็มในการเข้าถึงกลุ่มลุกค้าให้ได้ทุกกลุ่ม ด้วยการ เซอร์ไพร์ส ( SURPRISE) ตลาดด้วยการเข้าไปซื้อ PARK 24 รวมถึงการร่วมมือ หรือ JV ( Joint-venture) พัฒนาโครงการกับพันธมิตรต่างชาติบริษัทโนมูระเรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือNRED บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากญี่ปุ่น ด้วยการขายสัดส่วนการถือหุ้น 49% ใน 4บริษัทย่อยมูลค่ารวม 788 ล้านบาท (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นีhttps://prop2morrow.com/2017/07/31/ori )

…และวันนี้ (24 สิงหาคม 2560) ผู้บริหารของทั้ง ORI และNREDก็ควงกันออกมาแถลงข่าวครั้งแรกถึงมุมมอง-ทิศทางความร่วมมือ ณ ห้องแกรนด์บอลรูมชั้น 3 โรงแรมโอกุระ เพรสทีจ เบื้องต้นในเฟสแรกพุ่งเป้าเพื่อพัฒนา 4 คอนโดมิเนียมใหม่ใช้เงินลงทุน กว่า 2,000 ล้านบาท  มูลค่าโครงการรวม 8,600 ล้านบาท โดย 3 โครงการแรกที่ JV จะเปิดตัวในไตรมาส 3/2560 ประกอบด้วย 1.โครงการไนท์บริดจ์ ไพรม์ รัชโยธิน จำนวน 334 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท 2.โครงการไนท์บริดจ์ ไพรม์ อ่อนนุช จำนวน 601 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท 3.โครงการไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง จำนวน 685 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท รวม 3 โครงการระหว่างออริจิ้นและโนมูระในปีนี้ 1,620 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมกว่า 6,100 ล้านบาท ส่วนอีก1โครงการJV จะเปิดตัวในปี 2561  มูลค่า 2,500 ล้านบาท  (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่https://prop2morrow.com/2017/08/19/origin )

การเปิดขาย 3 โครงการดังกล่าวในงานมหกรรมสุดยิ่งใหญ่ครั้งแรกของออริจิ้นภายใต้ชื่อ My Life. My Origin ณ แฟชั่น ฮอลล์ และรอยัล พารากอน ฮอลล์ 3 ศูนย์การค้าสยาม พารากอน รวมพื้นที่กว่า 2,400 ตร.ม. ในวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 16-17 ก.ย.นี้ พร้อมกับโครงการในทำเลใกล้รถไฟฟ้าของออริจิ้นอีกรวม 28 โครงการ ด้วยความมุ่งหวังจะสร้างปรากฏการณ์และมิติใหม่แห่งการอยู่อาศัยให้แก่ผู้บริโภค

บริษัทฯจะเริ่มนำดีไซน์ โนว์ฮาว และนวัตกรรมต่างๆ ของโนมูระ เข้ามาใช้กับ 3 โครงการแรกที่จะเปิดขายในไตรมาส 3 ปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโนว์ฮาวและนวัตกรรมสำคัญของโนมูระ ภายใต้โครงการ Luxmoreนายพีระพงศ์  จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กล่าว

โครงการ Luxmore เป็นแนวทางการพัฒนาที่อยู่อาศัยของโนมูระ ที่คำนึงถึงปัจจัยสำคัญต่อการใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัย 5 ด้าน ได้แก่ 1.การสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์ที่สมบูรณ์ 2.ความสะดวกในการใช้สอย 3.การใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย 4.ดีไซน์ และ 5.การบำรุงรักษาและการทำความสะอาด ทำให้โครงการต่างๆ ของโนมูระสามารถสร้างสรรค์มิติใหม่ในการอยู่อาศัยให้แก่ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ออริจิ้นประทับใจในโนมูระ และจะนำแนวทางนี้มาใช้กับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ที่ร่วมทุนกัน

 

โดยโนว์ฮาวที่จะนำมาใช้นั้น จะเน้นที่ฟังก์ชันการใช้สอยและรูปแบบการดีไซน์ที่จะล้อไปกับการใช้งาน “ตลาดคอนโดไทยยังคงเป็นเรื่องของ Emotion ครึ่งหนึ่งส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นการซื้อเพื่อใช้สอย คือยังเป็นการซื้อแบบอวดเพื่อนๆอยู่” นายพีระพงศ์ กล่าว

 

ด้านนายเอย์จิ คุสึคาเขะ ประธานกรรมการ บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯได้วางแผนการเติบโตในระยะกลาง-ยาว ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559-2567 ด้วยแผนการลงทุนในต่างประเทศภายใต้งบการลงทุนกว่า 3 แสนล้านเยน หรือประมาณ 9.06 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเน้นการลงทุนในเอเชียเป็นหลัก สำหรับประเทศไทยใช้เงินลงทุนประมาณ 10,000 ล้านเยนหรือประมาณ 3,000 ล้านบาท ด้วยการประเดิมร่วมลงทุนกับบริษัท ออริจิ้น ฯโดยในปีนี้มีแผนลงทุนร่วมกับ ออริจิ้น 3 โครงการ และในปี 2561 อีก 1 โครงการ และในอนาคตมีแผนที่จะร่วมกันพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆอีกด้วย

 

พร้อมกันนี้ผู้บริหารของ โนมูระฯยังมีมุมมองต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยว่าแนวโน้มตลาดริมทรัพย์ในกรุงเทพฯยังเติบโตอย่างมีเสถียรภาพได้ในระยะยาว เพราะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นช่วงที่อสังหาริมทรัพย์มีการเปลี่ยนผ่านจากการเติบโตเชิงปริมาณสู่การเติบโตเชิงคุณภาพ เองเป็นผู้มีประสบการณ์ ดีไซน์ โนว์ฮาว และนวัตกรรมด้านการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่มีคุณภาพในญี่ปุ่นมายาวนาน จึงมองเห็นโอกาสและเดินหน้าร่วมทุนกับบริษัทที่เชี่ยวชาญการพัฒนาที่อยู่อาศัยในไทย

 

การ JV ร่วมกับ โนมูระ เรียลเอสเตท เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2500 ปัจจุบันมีโครงสร้างธุรกิจหลากหลายได้แก่ 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว 2.ธุรกิจจัดหาสำนักงานให้เช่า 3.ธุรกิจค้าปลีก 4.ธุรกิจโลจิสติกส์ และ 5.ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ เช่น การขาย การซื้อ การเช่าอสังหาริมทรัพย์

 

กล่าวได้ว่า ด้วยโครงสร้างและBusiness Model ของORI ในปัจจุบันเทียบเคียงได้กับ อนันดา และ เอพี ไทยแลนด์ ที่มีโครงสร้างจากการทำ JV กันพันธมิตรญี่ปุ่นในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเหมือนกัน ในระยะยาว 3-5 ปีORI จะได้วางแผนการพัฒนาAsset เพื่อเช่าด้วยเพราะพันธมิตร โนมูระฯมีธุรกิจที่หลากหลายจะทำให้ ORI สามารถเปิดโครงการใหม่เชิงรุกด้วยมูลค่าที่สูงขึ้นอีกเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดคอนโดฯพร้อมกับความเสี่ยงด้านแหล่งเงินทุนที่ลดลงในขณะเดียวกันก็เพิ่มโอกาสการลงทุนใหม่ในธุรกิจ Recurring Income ที่โนมูระ เรียลเอสเตท มีความชำนาญได้