เจเอเอสฯขยายไลน์ธุรกิจอสังหาฯเพื่อขายครั้งแรก นำร่องผุดโครงการคอนโดฯโลว์ไรส์ “นีเวร่า เอกมัย-รามอินทรา”มูลค่า 500 ล้านบาท ตั้งเป้าปิดขายภายในไตรมาส1/61 ลั่นพร้อมลงทุนระยะยาววางแผนเปิดตัวปีละ 2 โครงการ มูลค่า 1,000-1,200 ล้านบาท ไม่หวั่นลูกค้าถูกปฏิเสธสินเชื่อ บริษัทในเครือเจ ฟินเทค เตรียมขยายฐานปล่อยสินเชื่อ Home Loan เพิ่มทางเลือก คาดปีหน้ารับรู้รายได้จากคอนโดฯสัดส่วน 10%

 

 

นายสุพจน์ วรรณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J  ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการพัฒนาคอมมูนิตี้ มอลล์ มา3โครงการ ได้แก่ เดอะแจส วังหิน, เดอะแจส รามอินทรา และล่าสุดแจส เออเบิร์น ศรีนครินทร์ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมาก แต่มองว่าธุรกิจดังกล่าวใช้เวลาหลายปีกว่าจะถึงจุดคุ้มทุน ในขณะที่โครงการอสังหาฯเพื่อการขายใช้ระยะเวลา2-3 ปีก็ปิดการขายและรับรู้รายได้เร็ว

 

ดังนั้นจึงขยายไลน์ธุรกิจมาสู่ธุรกิจอสังหาฯเพื่อการขายเป็นครั้งแรก   ด้วยการเริ่มหาซื้อที่ดินเมื่อปี2559 บริเวณ ซอยสุคนธสวัสดิ์ 38 (เอกมัย-รามอินทรา) บนพื้นที่ 2 ไร่เพื่อพัฒนาโครงการแรกในปี 2560 ภายใต้แบรนด์ “นีเวร่า เอกมัย-รามอินทรา” เป็นคอนโดมิเนียม Low-rise 8 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 29 – 48.5 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 1.88 ล้าน – 4.08 ล้านบาท หรือเริ่มต้นที่ 64,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 178 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท

สาเหตุที่เลือกพัฒนาโครงการในทำเลย่านเอกมัย-รามอินทรา เพราะเป็นทำเลที่บริษัทมีความชำนาญ และเป็นความเปลี่ยนแปลงของการพัฒนาโครงการอสังหาฯมาโดยตลอด อีกทั้งมีการคมนาคมที่สะดวก และเป็นเส้นทางที่ใกล้โครงการรถไฟฟ้า 3 สาย ได้แก่ สายสีชมพู แคราย-มีนบุรี ผ่านถนนรามอินทรา กำหนดเปิดให้บริการเดือนมิถุนา ยน 2563 สายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ผ่านถนนพหลโยธินกำหนดเปิดให้บริการเดือนกุมภาพันธ์ 2563 และสายสีเทาช่วงที่ 1 วัชรพล-ทองหล่อ นอกจากนี้ซัพพลายคอนโดฯในย่านดังกล่าวก็แทบไม่มี เหลือเพียง 1-2 ยูนิตเท่านั้นซึ่งเป็นการพัฒนาโดยผู้ประกอบการในพื้นที่ จึงแทบไม่มีคู่แข่ง เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะพัฒนาโครงการในรูปแบบของทาวน์โฮม ราคาตั้งแต่ 15 ล้านบาทขึ้นไปมากกว่า

 

ความคืบหน้าของโครงการฯ ในด้านงานก่อสร้าง ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในปลายปี 2560 นี้ สำหรับห้องตัวอย่างและสำนักงาน ขายพร้อมเปิดให้ชมตั้งแต่วันที่ 23 กันยายนเป็นต้นไป และเปิดพรีเซลในวันที่ 30 กันยายน – 1 ตุลาคม2560 นี้  คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในไตรมาส1/2561

 

นายสุพจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่บริษัทฯเข้ามารุกธุรกิจอสังหาฯเพราะต้องการลงทุนในระยะยาว โดยในเบื้องต้นคงเน้นการพัฒนาคอนโดฯ  Low-rise ก่อนในทำเลศักยภาพ ปีละประมาณ 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาท หรือหากมีโอกาสพัฒนาโครงการแนวราบก็พร้อมที่จะดำเนินการ สำหรับโครงการที่2 ขณะนี้มีที่ดินรองรับแล้ว7-8 ไร่ ใกล้บิ๊กซี ดอนเมือง อาจจะพัฒนาโครงการในรูปแบบมิซ์ยูส คือคอนโดฯโลว์ไรส์ และรีเทล ขนาดเล็ก มูลค่าโครงการประมาณ1,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มพัฒนาได้ในปี2561

 

“แม้ว่าเราจะเพิ่งขยายไลน์ธุรกิจมาพัฒนาโครงการอสังหาฯเพื่อการขาย แต่ก็ไม่หวั่นเรื่องการแข่งขัน เพราะมั่นใจในศักยภาพของทีมงาน และสินค้าที่พัฒนาขึ้นมา รวมไปถึงไม่หวั่นหากจะมีลูกค้าที่ซื้อสินค้าแล้วไม่ผ่านการพิจารณาสินเชื่อรายย่อยจากสถาบันการเงิน(Reject) เราก็จะมีบริษัทในเครือของ JMART คือ บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล Mobile Loan ,Personal Loan และในเร็วๆนี้จะขยายฐานปล่อยสินเชื่อ Home Loan มารองรับและเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าของบริษัทฯด้วย”นายสุพจน์ กล่าว

 

และล่าสุดเมื่อต้นเดือนสิงหาคม2560  J ได้เข้าซื้อกิจการร้านอาหารและเครื่องดื่ม Casa Lapin จำนวน 2 แห่ง คือสาขาสุขุมวิท 26 และสาขาอารีย์ วงเงิน 42 ล้านบาท (จากทั้งหมดที่มี 7 สาขา) โดยจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท คอฟฟี่ โปรเจคท์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมของเจ้าของ Casa Lapin และตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาชื่อ บริษัท บีนส์แอนด์บราวน์ จำกัด โดย J ถือหุ้น 60% ส่วน คอฟฟี่ โปรเจคท์ ถือหุ้น 40% จะทำหน้าที่บริหารร้าน Casa Lapin ต่อไป

อย่างไรก็ตามปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯมาจากการบริหารพื้นที่เช่าไอทีจังชั่น(IT JUNCTION) 65-70% และอนาคตจะลดสัดส่วนลงเรื่อยๆ สำหรับธุรกิจช้อปปิ้งมอลล์ ปัจจุบันมี 3 แห่ง มีสัดส่วนรายได้ 30% ซึ่งในอนาคตจะเพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้จากอสังหาฯเพื่อขาย จะเริ่มทยอยรับรู้ปลายปี 2561 ประมาณ 10% และในปีถัดไปจะเพิ่มเป็น 30%