“สิงห์ เอสเตท”ทุ่มกว่า 5.5 หมื่นล้านบาท สยายปีกลงทุน 3 ปีข้างหน้าขึ้นแท่นเป็น “Property Development and Investment Holding Company ”เผยนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศเชื่อมั่นร่วมลงทุนกว่า 7 พันล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการครึ่งปีแรกรายได้รวมโตเพิ่มขึ้น 81% จ่อเปิดตัว 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 1.9 หมื่นล้านบาท

 

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือS เปิดเผยว่า บริษัทฯมีนโยบายที่จะดำเนินธุรกิจในแบบการพัฒนาธุรกิจต่างๆที่เข้าไปลงทุนให้มีความแข็งแกร่งและเติบโตต่อเนื่อง(Property Development and Investment Holding Company) เพื่อให้เกิดโอกาสและผลดีในทุกธุรกิจของบริษัทฯ สามารถที่จะสร้างรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการพัฒนาธุรกิจแบบบูรณาการ เน้นการสร้างการทำงานร่วมกันเพื่อเสริมความแกร่ง (Synergy) โดยแผนการลงทุนของบริษัทฯ จะสอดคล้องกับภาพรวมตลาด และเทรนด์ของธุรกิจในปัจจุบัน ซึ่งการลงทุนพัฒนาธุรกิจของบริษัทฯ มีหลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน โดยตั้งเป้าขยายการลงทุนในธุรกิจต่างๆ มูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาทภายในปี 2563 ซึ่งจะประกอบด้วย ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจคอมเมอร์เชียล (ธุรกิจค้าปลีก และอาคารสำนักงาน) และธุรกิจใหม่ๆที่สร้างโอกาสในอนาคต

 

โดยบริษัทจะเน้นการพัฒนาโครงการที่กระจายความเสี่ยงออกไป และสามารถนำความได้เปรียบในการแข่งขันมารองรับ โดยมองว่าตลาดลักชัวรี่ยังมีอัตราการเติบโตดีกว่าตลาดแมสและระดับล่าง ส่วนตลาดอาคารสำนักงาน มีการแข่งขันสูงโดยเฉพาะเพลินจิต พระราม4  ซึ่งบริษัทจะเน้นพัฒนาโครงการบนทำเลที่มีการแข่งขันน้อย แต่ใกล้ระบบสาธารณูปโภค ราคาที่ดินไม่สูง สามารถปล่อยเช่าในราคาที่ไม่แพง ขณะที่ธุรกิจโรงแรง ยังเน้นโรงแรมกึ่งรีสอร์ทในย่านชานเมืองมากกว่าในเมือง ซึ่งการแข่งขันยังมีน้อย และเลือกทำเลที่มีความได้เปรียบ สามารถสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นได้

สิงห์ เอสเตท มีความพร้อมด้านการเงินจากการเพิ่มทุนและการออกหุ้นกู้แปลงสภาพมูลค่า 7,720 ล้านบาท ส่งผลให้มีฟรีโฟลต (free-float) เพิ่มขึ้นจาก 24% เป็น 38% โดยมีสถาบันชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศให้ความสนใจลงทุน โดยสิงห์ เอสเตท ได้เสนอขายหุ้นใหม่แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) มูลค่า 1,664 ล้านบาท ให้กับบลจ.บัวหลวง บลจ.วรรณ และกองทุนแฟรงกลิน เทมเพิลตัน (Frankling Templeton) ซึ่งเป็นกองทุนที่ติดอันดับ Top 5 ของโลก และการออกหุ้นกู้แปลงสภาพ มูลค่า 6,056 ล้านบาท ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติและจับจองเต็มมูลค่า

 

ปัจจุบันมี 3 ธุรกิจหลัก คือ ที่อยู่อาศัย, ธุรกิจเชิงพาณิชย์ และธุรกิจโรงแรม และในอนาคตมีแผนที่จะรุกธุรกิจใหม่ต่อเนื่อง ซึ่งในครึ่งหลัง ปี 2560มีแผนเปิดตัวใหม่ในประเทศ 4 โครงการ รวมมูลค่ากว่า19,000 ล้านบาท ดังนี้ คือ

1. ดิ เอส แอท สุขุมวิท36 บนพื้นที่ 2 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯ สูง 40 ชั้น ขนาด 40-200 ตารางเมตร ราคา 12-60 ล้านบาท หรือ 310,000 บาท/ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 6,175 ล้านบาท

2.สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส บนพื้นที่ 45 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 26 ยูนิตๆละ 1 ไร่ ราคา 200-300 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 4,932 ล้านบาท โดยรูปแบบจะเน้นการขายที่ดินก่อนหลังจากนั้นจะให้ลูกค้าเลือกแบบบ้านที่ทางโครงการนำเสนอ

3.เจ้าพระยา บันยันทรี เรสซิเดนเซส ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ ซึ่งพัฒนาโดย บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด(มหาชน)หรือ NVD มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท

และ โครงการที่4.คือเนอวานา ดีฟาย์ มูลค่า 1,900 ล้านบา

ส่วนต่างประเทศได้เตรียมดำเนินการโครงการเมกะโปรเจกต์ที่ประเทศมัลดีฟส์ คือ Emboodhoo Lagoon ที่บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด จะโอนสิทธิ์ที่ได้จากการสัมปทานจากรัฐบาลมัลดีฟส์ให้กับS เป็นผู้พัฒนาในปลายปี2560 นี้ คิดเป็นมูลค่า 80 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตั้งเป้าจะเป็นผู้พัฒนาโครงการในระดับเวิลด์คลาส โดยเฟสแรกจะพัฒนาจำนวน 3 เกาะ ซึ่งประกอบด้วยวิลล่า ท่าจอดเรือ ร้านอาหาร ดิวตี้ฟรี ห้องประชุม สัมมนา บีชคลับ โรงแรมและร้านค้า มีมูลค่ากว่า 11,000 ล้านบาท (จากทั้งหมด 9 เกาะ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนทั้งหมด 20,000 ล้านบาท)ซึ่งจะพัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูสในรูปแบบใหม่ เจาะตลาดครอบครัว (Upscale Family) ที่ได้รับความร่วมมือจากเครือฮาร์ดร็อคเข้ามาร่วมเป็น Strategic Partner รายแรกที่จะมาร่วมพัฒนาธีมโฮเทลแห่งแรกในโครงการ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปลายปี2560 นี้ และแล้วเสร็จในปี2563

 

นอกจากนี้ยังอยู่ในระหว่างการเจรจาเช่าที่ดินลีสโฮลด์ ย่านใจกลางเมืองเพื่อพัฒนาอาคารสำนักงานเพิ่มอีกประมาณ 100,000 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 3,000-4,000 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถสรุปผลการเจรจาได้ภายในปลายปีนี้

 

อีกทั้งอยู่ในระหว่างมองหาซื้อกิจการโรงแรมเพิ่มอีก ทั้งในประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจา 2-3 ราย ซึ่งเป็นโรงแรมในต่างประเทศ 1 แห่ง ส่วนในประเทศไทยจะเน้นรีสอร์ทที่อยู่ติดทะเล

 

ส่วนโครงการที่ S เปิดการขายในปัจจุบัน คือ THE ESSE ASOKE ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 75% จากมูลค่าโครงการ 4,722 ล้านบาท ส่วนTHE ESSE SINGHA COMPLEX มียอดขาย 86% จากมูลค่าโครงการ 4,160 ล้านบาท  โดยทั้ง 2 โครงการมียอดขายรวม 7,387 ล้านบาท

 

ด้านธุรกิจที่มาจากการให้เช่าคือ สันติบุรี ปัจจุบันมีอัตราการเข้าพัก 71% ,พีพีไอส์แลนด์ อัตราการเข้าพัก 81% ,ซันทาวเวอร์ มีผู้เช่า 96% และอสังหาฯในอังกฤษ อัตราการเข้าพัก 70%

สำหรับในครึ่งปีแรก2560 บริษัทสามารถทำรายได้ที่ 2,230 ล้านบาท เทียบจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ 1,229 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 81%ด้านกำไรสุทธิอยู่ที่-28 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี2559 ซึ่งอยู่ที่ 162 ล้านบาท เพราะขาดทุนจากเงินลงทุนที่อังกฤษ ซึ่งขึ้นลงจากอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตามภายในระยะเวลา 3 ปีนี้ บริษัทตั้งเป้าลงทุนทั้งสิ้น 55,000 ล้านบาท

***prop2morrow โดยคุณวาสนา กลั่นประเสริฐ เบอร์โทร 02 6320645 E-mail was_am999@yahoo.com