หลังจากที่ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) ประสบความสำเร็จจากการพัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ Life ที่วางโพสิชั่นแบรนด์นี้ ‘Platform for Success’ มุ่งมั่นจะให้ Life เป็นคอนโดมิเนียมแห่งแรกและแห่งเดียวที่มอบความสะดวกสบายในการพักอาศัย และเชื่อมต่อกับผู้คนได้อย่างไร้ขีดจำกัด ไปแล้ว 2 โครงการได้แก่ Life ลาดพร้าว มูลค่าโครงการ 7,600 ล้านบาท และ Life วัน ไวร์เลส มูลค่าโครงการ 7,500 ล้านบาท ได้รับการตอบรับที่ดีจนสามารถสร้างยอดขายรวมกว่า 83% ซึ่งทั้ง 2 โครงการเป็นโครงการร่วมทุนญี่ปุ่น มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ( MEC)

ล่าสุด เอพีได้ผนึกพันธมิตร มิตซูบิชิฯเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม Life อโศก – พระราม 9 มูลค่าโครงการ 9,000 ล้านบาท โดยนายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์)  กล่าว่าโครงการLife อโศก – พระราม 9ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 8 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมพักอาศัย 1 อาคาร แบ่งเป็น 2 ทาวเวอร์ (ทาวเวอร์ A สูง 42 ชั้น และทาวเวอร์ B สูง 46 ชั้น) จำนวน 2,248 ยูนิต

ขนาดพื้นที่ใช้สอยประเภท ห้องสตูดิโอ ขนาดพื้นที่ 25–27.5 ตร.ม. , ห้องชุด 1 ห้องนอน ขนาด 32 ตร.ม.  ห้องชุด 1 ห้องนอนแบบพิเศษ (One Bedroom Plus) ขนาดพื้นที่ 35 – 40 ตร.ม. และ และประเภทห้องชุด 2 ห้องนอน (Two Bedrooms) ขนาดพื้นที่ 45-58 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นเพียง 98,000 บาท/ตารางเมตร(ตร.ม.)หรือราคาเริ่มต้น 2.45 ล้านบาทโดยเตรียมเปิดขายครั้งแรกที่ AP-iBooking ผ่านเว็บไซต์ apthai.com ในวันพุธที่ 8 พฤศจิกายนนี้ และเปิดขายอย่างเป็นทางการ ณ สำนักงานขาย Life  อโศก – พระราม 9 ในวันที่ 11-12 พฤศจิกายนนี้ตั้งเป้ายอดขายในช่วงพรีเซลมากกว่า 50% หรือคิดเป็นกว่า 4,500 ล้านบาท

ผู้บริหารเอพี.ยังกล่าวถึงจุดเด่นของ Life อโศก – พระราม 9 คือ นวัตกรรมพื้นที่ที่เอพีพัฒนาเลเอ้าท์ใหม่ภายใต้แนวคิด Interlock โดยการจัดวางผังยูนิตและสเปซภายในแบบใหม่ ระหว่างห้อง Studio (27.5 ตร.ม.) และ One Bedroom Plus (35 ตร.ม.)  เพิ่มความคุ้มค่าและพื้นที่ใช้สอยที่ลงตัวมากยิ่งขึ้น ห้อง Studio ถูกปรับให้มีหน้ากว้าง 5 เมตร (โดยทั่วไปจะมีขนาด 3.4 เมตร) ทำให้ผู้อยู่อาศัยได้พื้นที่ที่เป็น และความพิเศษของ ห้อง One Bedroom Plus คือ มีหน้ากว้าง 7 เมตร (จากทั่วไป 5.3 เมตร) นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆครบครัน

การเปิดโครงการดังกล่าวทำให้ เอพี มีส่วนแบ่งการตลาดคอนโดฯระดับกลาง-บนในย่านนี้ (อโศก-เพชรบุรี-พระราม 9 )คิดเป็นสัดส่วน 40%

ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่าตลาดคอนโดในย่านพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างอโศก-เพชรบุรี-พระราม 9 พบดีมานด์ที่มองหาคอนโดมิเนียมใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจำนวนคนทำงานบริษัทสัญชาติไทยและกลุ่มทุนต่างชาติ ที่กำลังจะย้ายเข้ามาอย่างเต็มรูปแบบใน 6 ออฟฟิศเกรดเอบนย่านศูนย์กลางย่านธุรกิจแห่งใหม่นี้ คาดการณ์ประมาณ 78,837 คนในปี 2563 ส่งผลให้ซัพพลายคอนโดมิเนียมคงเหลือขาย ณ ปัจจุบัน พบเพียง 1,198 ยูนิต หรือคิดเป็น 17% ของจำนวนยูนิตที่เปิดตัวทั้งหมด ซึ่งเป็นคอนโดกลุ่มไฮเอ็นท์ราคาต่อตารางเมตรประมาณแสนต้นๆ คงเหลือเพียง 109 ยูนิตเท่านั้น

อัตราการเข้าอยู่และผลตอบแทน (Yeild)  ของคอนโดพร้อมอยู่ในย่านมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมในเครือเอพี อาทิ The ADDRESS อโศก RHYTHM อโศก หรือ ASPIRE พระราม 9 ที่พบอัตราการเข้าอยู่เฉลี่ยกว่า 85% ทุกโครงการ แบ่งสัดส่วนเป็นผู้ซื้ออยู่เอง 75% และปล่อยเช่า 25% โดยเป็นผู้เช่าชาวเอเชีย อาทิ ไต้หวัน ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ และญี่ปุ่น และราคาปล่อยเช่าในทำเลเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 22,000 – 53,000  บาทต่อเดือน ขณะที่ผลตอบแทนการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 7 – 8%  ต่อปี

ปัจจุบัน (ณ วันที่ 15 กันยายน 2560) เอพีมีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Ongoing Projects) จำนวน 25 โครงการแบ่งเป็น โครงการร่วมทุนกับบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตส กรุ๊ป (MEC) จำนวน 10 โครงการ มูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 4,340 ล้านบาท และโครงการที่บริษัทพัฒนาเอง จำนวน 15 โครงการมูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 11,530 ล้าน

ในส่วนของผลการดำเนินงานของเอพีเฉพาะจากกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม สามารถสร้างยอดขายรวมกว่า 16,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 98% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมากกว่าเป้าหมายยอดขายเฉพาะสินค้าแนวสูงกว่า 31% (เป้าหมายยอดขายแนวสูงปี 2560 มูลค่า 12,400 ล้านบาท)

ทั้งนี้คาดว่าภายในสิ้นปี 2560 จะมียอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียมที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมียอดขายรวมที่ประมาณ 31,000-32,000 ล้านบาท ซึ่งเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ตั้งไว้ในปีนี้ที่ 26,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรวมแล้ว 27,300 ล้านบาท

 

นายวิทการ ยังให้ความเห็นถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไนช่วงโค้งสุดท้ายปี 2560 เชื่อว่าการแข่งขันยังอยู่ในระดับที่สูง โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่เเดือนพฤศจิกายนนี้ เนื่องจากผู้ประกอบการทุกรายจะเริ่มกลับมาทำกิจกรรมทางการตลาดกันอีกครั้ง หลังจากที่หยุดในช่วงเดือนตุลาคมโดยบริษัทฯมีการทำกิจกรรมทางการตลาด เพื่อเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น