ภายหลังจากที่สมาชิกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต มีมติเป็นเอกฉันท์เลือก “บุญ ยงสกุล”ประธานกรรมการ บริษัท โบ๊ทพัฒนา จำกัด เป็น นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตคนใหม่แทน นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช ที่หมดวาระไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา

โดย“บุญ ยงสกุล”เป็นทายาทคนแรกจากทั้งหมด 4 คนของ”คณิต ยงสกุล” หนึ่งในนักธุรกิจท้องถิ่นในจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียงรู้จักกันดี ในฐานะคหบดีที่มีธุรกิจหลากหลาย เดิมประกอบธุรกิจเหมืองแร่ดีบุก ต่อมาหันมาดำเนินธุรกิจบริการที่จอดเรือหรูให้กับมหาเศรษฐีทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการก่อตั้งบริษัท ภูเก็ตโบ๊ทลากูน จำกัด ขึ้นมาเมื่อปี 2537 พร้อมกับดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจอื่นๆควบคู่กันไปด้วย และเติบโตไปตามยุคสมัยปัจจุบัน 

ในฐานะที่ “บุญ ยงสกุล”เป็นทายาทคนแรกจึงรับไม้ต่อธุรกิจจาก “คณิต”ผู้เป็นบิดามาโดยอัตโนมัติ เมื่อมาอยู่ในแวดวงอสังหาฯได้พิสูจน์ผลงานให้เห็นและเป็นที่ยอมรับของผู้ประกอบการอสังหาฯในจังหวัดภูเก็ต จนได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมอสังหาฯภูเก็ตคนปัจจุบันนั่นเอง โดยจะดำรงตำแหน่งดังกล่าวเป็นระยะเวลา 2 ปี (2560-2562)

ดึงต่างชาติเข้าสังกัดเพิ่มความเป็นอินเตอร์ฯ

นายบุญ ยงสกุล ประธานกรรมการ บริษัท โบ๊ทพัฒนา จำกัด  ในฐานะนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้รับมอบตำแหน่ง ตนก็จะสานต่อแนวนโยบายของนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตคนเก่า ซึ่งท่านถือว่าทำหน้าที่ได้อย่างดียิ่งและตนมีแผนที่จะดำเนินการให้สมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต มีความเป็นอินเตอร์เนชั่นแนลมากยิ่งขึ้น ด้วยการเชิญผู้ประกอบการชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาฯในภูเก็ต ร่วมเป็นสมาชิกในสมาคมฯด้วย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะได้รับการตอบรับมาอย่างน้อย 10ราย ซึ่งจะทำให้สมาคมฯเป็นที่ยอมรับในสายตานักลงทุนชาวต่างชาติมากขึ้น โดยปัจจุบันสมาคมฯมีสมาชิกรวมแล้วประมาณ 120 ราย

เตรียมจัดคอร์สอบรม-ตั้งหลักสูตรRE-ภูเก็ต

นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะนำคอร์สอบรมด้านอสังหาฯที่น่าสนใจจากกทม.มาจัดคอร์สอบรมที่ภูเก็ตด้วย เพื่อให้ผู้ประกอบการในท้องถิ่นมีโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น โดยมีแผนจะจัดปีละ 4 ครั้งหรือไตรมาสละ 1 ครั้งอีกทั้งยังมีแผนที่จะจัดทำหลักสูตร RE-ภูเก็ต ด้วย เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับนักลงทุนที่จะมาลงทุนพัฒนาโครงการในภูเก็ต ซึ่งในเบื้อต้นได้มีการปรึกษา รศ.มานพ พงศทัต ในระดับหนึ่งแล้ว และอยู่ในระหว่างขั้นตอนการร่างหลักสูตร โดยหลักสูตรจะใช้ระยะเวลาในการอบรมประมาณ 2-3 เดือน คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการอบรมหลักสูตรรุ่นแรกได้ในไตรมาส1/2561

 

กลุ่มจีน-รัสเซียบุกลงทุน-ท่องเที่ยว

สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯภูเก็ตนั้นมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของการท่องเที่ยวภูเก็ต ที่มีชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวและลงทุนเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มีการพัฒนาโรงแรมและที่อยู่อาศัยขึ้นมามากเพื่อรองรองรับดีมานด์ซึ่งตอนนี้กลุ่มชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยว และลงทุนในภูเก็ตมากเป็นอันดับ1 คือจีน (ร่วมทุนพัฒนาโครงการประมาณ 10 ราย)และรัสเซียจะมาเป็นอันดับ2 แต่จะมาท่องเที่ยวมากกว่า

โดยกลุ่มผู้ประกอบการชาวจีนที่เข้ามาร่วมทุนกับผู้ประกอบการในท้องถิ่นภูเก็ต ส่วนใหญ่จะพัฒนาเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ย่านกะตะ กะรน และป่าตอง ในสัดส่วนที่มาก 60-70% ส่วนอีก 40% จะเป็นการร่วมทุนพัฒนาโครงการประเภทคอนโดมิเนียม ซึ่งล้วนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

สำหรับผู้ประกอบรายรายใหญ่เองก็ยังมีมาลงทุนในภูเก็ตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ได้แก่ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน),บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน),บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) และบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น

 

เทรนด์บ้านผู้สูงอายุมาแรง

และล่าสุดที่กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ในภูเก็ตคือ การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ที่เป็นการร่วมทุนของ 4 ยักษ์อสังหาฯ คือบริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด,บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) ,บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ช.การช่างจำกัด (มหาชน) จัดตั้งบริษัท กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง จำกัด ขึ้นมาเพื่อพัฒนาโครงการ“กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง” ระดับพรีเมี่ยม มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท และยังมีผู้ประกอบการที่สนใจเข้ามาลงทุนในรูปแบบดังกล่าวอีก แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้

 

จ่อผุดคอนโดฯมูลค่าเกือบพันล้าน

สำหรับแผนการลงทุนของโบ๊ทพัฒนาฯนั้นได้เตรียมพัฒนาคอนโดฯที่ต.เชิงทะเล อ.ถลาง ใกล้โครงการลากูน่า ภูเก็ต จำนวน 1 โครงการบนพื้นที่ 15 ไร่ จำนวน 4 อาคาร สูง 7-8 ชั้นจำนวน 400 ยูนิต ราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท มูลค่าโครงการเกือบ 1,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ คาดว่าจะเปิดตัวได้ในไตรมาส1/2561

 

“ปัจจุบันตลาดที่อาศัยในภูเก็ตระดับกลาง-บน ยังไปได้ดี แต่ตลาดกลาง-ล่าง ยังมียอดขายที่ช้า เนื่องจากสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมาก ส่งผลให้มียอดถูกปฏิเสธสินเชื่อ(Rejecrt) สูงถึง 30-40% ซึ่งมองว่าตลาดภูเก็ตไม่เหมาะที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับกลาง-ล่าง เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวอัตราค่าครองชีพค่อนข้างสูง”นายบุญ กล่าวในที่สุด