ปัจจุบันตลาดคอนโดฯแนวรถไฟฟ้ายังมีการแข่งขันที่สูง ผู้ประกอบการต่างประกาศเปิดตัวโครงการใหม่กันอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็ต้องมีการวางแผนเรื่องการตลาดอย่างรัดกุม เพื่อปิดการขายได้เร็วที่สุด ซึ่งจะเห็นว่าเริ่มมีผู้ประกอบการบางรายที่ต้องการระบายสินค้าให้ได้เร็วๆที่สุด โดยเฉพาะโควตาของลูกค้าต่างชาติ สัดส่วน 45% ที่ตัดแบ่งขายยกล็อตให้กับเอเยนซี่ไปเลย เพื่อให้ไปขายให้กับลูกค้าต่างชาติที่มีอยู่ในเครือข่ายของเอเยนซี่แต่ละราย หรือขายให้กับกองทุนเพื่อไปขายต่อ

 

 

LPNตัดโควตา”ลุมพินี พาร์ค พหล 32”ให้Angle

จากการสำรวจข้อมูลของทีมงาน prop2morrow พบว่า  หรือ LPN ที่เดิมจะเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดฯระดับกลาง-ล่าง มาโดยตลอด สามารถสร้างประวัติศาสตร์เปิดพรีเซลโครงการไหนก็ปิดการขายได้ภายระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่ภายหลังจากที่สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของ LPN  ได้รับผลกระทบถูกปฏิเสธสินเชื่อเป็นตัวเลขที่สูง ส่งผลให้ LPN ต้องปรับแผนใหม่ด้วยการรุกเข้ามาพัฒนาในเมืองและเน้นกลุ่มเป้าหมายระดับกลาง-บน มากขึ้น รวมไปถึงเปลี่ยนกลยุทธ์การขายใหม่ จากเดิมที่จะมีทีมขายของLPN เอง และเน้นขายลูกค้าคนไทย ก็หันมาเน้นลูกค้าชาวต่างชาติมากขึ้นตามเปอร์เซ็นต์ที่กฎหมายกำหนด โดยเริ่มจากโครงการ “ลุมพินี สวีท เพชรบุรี-มักกะสัน”ที่มอบหมายให้บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ หรือAngle เป็นผู้นำโครงการไปขายให้กับนักลงทุนชาวต่างชาติ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ส่งผลให้LPN ไว้วางใจมอบหมายให้นำห้องชุดใน โครงการ ลุมพินี พาร์ค พหล 32 สัดส่วน 45% ไปขายให้กับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าจีน ซึ่งมีแผนจะนำออกไปขายในช่วงปลายปี 2560 นี้

 

 

ไซมิสฯปลื้ม2โครงการปิดขายภายใน3เดือน

ขณะที่บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด ก็มีการแบ่งขายห้องชุดยกล็อตโควตาต่างชาติให้กับ Angle นำไปขายเช่นกัน จำนวน 2 โครงการ คือ ไซมิส เอ็กซ์คลูซีฟ42 เป็นคอนโดฯ สูง 31 ชั้น 1 อาคาร ขนาด 33-66 ตารางเมตร เป็นห้องชุด 449 ยูนิต และรีเทล 5 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 6 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท  และโครงการ “ไซมิส สุขุมวิท”(ติดบีทีเอสอ่อนนุช) เป็นคอนโดฯสูง 39 ชั้น ขนาด 26-200 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 4.69 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการสามารถปิดการขายโควตาต่างชาติ 45% ได้ภายในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน

 

ออลล์ อินสไปร์ฯเมินขายยกล็อตหวั่นเกิดปัญหา

สำหรับบริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นอีกค่ายที่มาเร็วและเติบโตเร็ว ไม่แพ้ผู้ประกอบการรายใหญ่ เปิดแผนพัฒนาปี 2560 มากว่า 10 โครงการ ในระดับราคาที่จับต้องได้คือ 1.9 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 3 ล้านบาท อีกทั้งยังประกาศศักดาด้วยการดึงบริษัท ฮูซิเออรส์ โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน) ยักษ์ใหญ่ในวงการอสังหาฯ ติดอันดับ 1 ใน 10 ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น เข้ามาร่วมทุนพัฒนาโครงการด้วยกัน ซึ่งจะช่วยเรื่องการขายให้กับลูกค้าต่างชาติได้มาก ดังนั้นออลล์ อินสไปร์ฯจึงไม่มีความจำเป็นที่จะแบ่งขายห้องชุดยกล็อตให้กับเอเยนซี่เพื่อไปขายต่อแต่อย่างใด ทั้งๆที่ขณะนี้มีเอเยนซี่จากฮ่องกง 2 รายติดต่อเข้ามาประมาณ 4-5 รอบ ภายในระยะเวลา 1 เดือน เพื่อขอซื้อยกล็อตโครงการดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ สุขุมวิท 71”ตามสัดส่วนโควตาต่างชาติ 45% แต่ออลล์ อินสไปร์ฯได้มีการปฏิเสธไป เนื่องจากไม่อยากเสี่ยง เพราะชาวต่างชาตินั้นมีทั้งซื้อเพื่อลงทุนจริง หรือซื้อเพื่อมาพักอาศัยช่วงหยุดยาว แต่ก็มีบางกลุ่มที่นำเงินมาซื้อแต่ไม่มีที่มาของเงินอย่างชัดเจน เกรงว่าจะเกิดปัญหากับแบรนด์สินค้าในภายหลัง ออลล์ อินสไปร์ฯจึงยังไม่มีนโยบายที่จะแบ่งขายให้เอเยนซี่ต่างชาติแต่อย่างใด

 

แม้ว่าการตัดแบ่งขายคอนโดฯยกล็อตให้กับเอเยนซี่ไปขายให้กับต่างชาติ จะยังไม่เป็นที่ยอมรับของผู้ประกอบการไทยมากนัก เนื่องจากกลัวความเสี่ยงในหลากหลายประการ แต่ขณะเดียวกันก็มีผู้ประกอบการบางรายที่กล้าเสี่ยง และประสบความสำเร็จ ซึ่งคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า การตลาดในรูปแบบนี้ในอนาคตจะได้รับการยอมรับมากน้อยเพียงใด