จากการที่ที่ประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เห็นชอบให้ออกข้อกำหนดในการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่และศักยภาพของที่ดินตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่จะต้องมีการวางผังเมืองและพัฒนาเมืองใน 3 จังหวัดได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี (Eastern Economic Corridor:EEC)ภายใต้คำสั่งมาตรา 44 ของหัวหน้าคสช.เดิมเพื่อให้มีผลบังคับใช้ไปก่อนที่พ.ร.บ.อีอีซี จะออกมา โดยกำหนดให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือกรศ. ทำแผนการใช้ที่ดินรวม และจัดทำผังเมืองรวมของอีอีซีให้เสร็จภายใน 6 เดือน คาดว่า ข้อกำหนดดังกล่าวจะประกาศออกมาได้ภายในสัปดาห์หน้า

 

 

เห็นพ้องมติคสช.-แนะเพิ่มมาตรการลงแส้นักเก็งกำไรที่ดิน

ทั้งนี้ในกรณีดังกล่าวนายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า การดำเนินการของคสช.ถือว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้อง ซึ่งที่ผ่านมาตนก็พูดถึงเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด เพราะหากไม่มีการทำผังเมืองรวมผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติก็จะเข้าไปพัฒนาหรือลงทุนไม่ได้ เนื่องจากผังเมืองเดิมยังไม่สอดรับ ซึ่งการที่คสช.เร่งให้จัดทำผังเมืองรวมอีอีซีให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 6 เดือน หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องเร่งดำเนินการอย่างเต็มที่ เพราะการทำผังเมืองนั้นมีหลายกระบวนการ ถึง 18 ขั้นตอน ซึ่งจะต้องมีการลงพื้นที่จริงเพื่อทำการสำรวจด้วย โดยพื้นที่การลงทุนของ 3 จังหวัดคงต้องแบ่งเป็นโซนๆออกไป เมื่อผังเมืองรวมอีอีซีแล้วเสร็จ ผู้ประกอบการก็พร้อมที่จะเดินหน้าในการลงทุน แต่ทั้งนี้ก็ต้องระวังเรื่องการเก็งกำไรจากการซื้อที่ดินของผู้ประกอบการบางกลุ่มที่อาศัยสายสัมพันธ์กับข้าราชที่อยู่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถล่วงรู้ข้อมูลก่อน ทำให้มีการกว้านซื้อที่ดินและมีราคาที่สูงขึ้น

 

“ดังนั้นรัฐบาลควรที่จะมีมาตรการออกมาป้องกัน ด้วยการนำพ.ร.บ.จัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ.2547 มาใช้ร่วมกับผังเมืองรวมอีอีซี เพื่อลดปัญหาการเก็งกำไรในการตุนซื้อที่ดิน หรือการตั้งบริษัทพัฒนาเมืองขึ้นมาก็จะช่วยลดปัญหาดังกล่าวด้วยเช่นกัน เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับส่วนรวมและภาครัฐ ไม่ต้องเป็นเหยื่อให้กับข้าราชการที่แสวงหาผลประโยชน์”นายอธิป กล่าวในที่สุด

 

ผังเมืองรวมอีอีซีช่วยลดขั้นตอน-ประกาศใช้เร็วขึ้น

นายอิสระ บุญยัง นายกกิตติมศักดิ์และที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า การที่คสช.เร่งให้ดำเนินการทำผังเมืองรวมอีอีซี เพื่อต้องการให้ผังเมืองรวมออกมาใช้โดยเร็ว เพราะหากรอผังเมืองรวมตามปกติก็ต้องใช้ระยะเวลาตามกระบวนการ 18 ขั้นตอน ถึงเกือบ 2 ปี ดังนั้นการเร่งให้ทำผังเมืองอีอีซีก็จะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปกำหนดนโยบายให้สอดคล้องกับการใช้ประโยชน์ที่ดินและรวดเร็วขึ้น

“ซึ่งการจัดทำผังเมืองรวมอีอีซีจะช่วยลดขั้นตอนและบังคับใช้ได้เร็วขึ้น รวมไปถึงอุปสรรคจากท้องถิ่นต่างๆก็ไม่สามารถขัดแย้งพ.ร.บ.ได้”นายอิสระ กล่าว

 

วอนปรับผังเมืองระยองเอื้อรองรับที่อยู่อาศัย

ด้านนางสาวณัฏฐนันท์ คุณาจิระกุล นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ จ.ระยอง กล่าวว่า หากมีผังเมืองรวมอีอีซีมาใช้ การลงทุนทุกอย่างก็จะมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งข้อดีก็คือ ผังเมืองรวมดังกล่าวสามารถใช้งานได้ทันที แต่ข้อเสียคือยังไม่สามารถรู้ในรายละเอียดและคัดค้านหรือเปลี่ยนผังเมืองรวมได้ อย่างไรก็ตามคาดว่าคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากผังเมืองรวมเดิมมากนัก เพียงแต่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในบางโซนเท่านั้น

 

ทั้งนี้อยากให้ภาครัฐเปลี่ยนแปลงพื้นที่ในอ.เมือง จ.ระยอง ที่เดิมเป็นผังสีเขียว และปัจจุบันมีความเป็นเมืองมากขึ้น ซึ่งในอนาคตหากมีผู้ประกอบการเข้ามาลงทุนในพื้นที่EEC มากขึ้น รวมไปถึงมีรถไฟความเร็วสูง ก็จะมีความต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้น ดังนั้นจึงอยากให้มีการแก้ไขผังเมืองรวมเดิมให้เป็นผังสีเหลืองหรือสีชมพูมากขึ้น

“ที่ผ่านมาผังเมืองรวมของอีอีซียังไม่มีความชัดเจน ส่งผลให้นักลงทุนจากญี่ปุ่นที่มีความต้องการจะเข้ามาลงทุนในพื้นที่มาก แต่กฎหมายผังเมืองรวมยังไม่มีความชัดเจน จึงยังไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุน”นางสาวณัฏฐนันท์ กล่าวในที่สุด

 

หากผังเมืองรวมของอีอีซี แล้วเสร็จและประกาศใช้ภายในระยะเวลา 6 เดือนตามที่กำหนด เชื่อว่าจะสร้างความชัดเจนให้กับผู้ประกอบการโดยเฉพาะชาวต่างชาติที่จะกล้าเข้ามาลงทุนในพื้นที่ 3 จังหวัดEEC ได้มากขึ้น ที่จะส่งผลดีในหลายๆเรื่องตามมา นั่นหมายถึงว่าจะยิ่งบูมเศษฐกิจในประเทศไทยให้ฟื้นตัวและเม็ดเงินสะพัดมากยิ่งขึ้น