ปัจจุบัน coworking space หรือบริการให้เช่าที่นั่งทำงานร่วม กำลังเป็นธุรกิจที่มาแรงในประเทศไทย และเป็นภาคธุรกิจใหม่ที่ช่วยเพิ่มความต้องการในตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าของกรุงเทพฯ ซึ่งจากการสำรวจของ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ JLL พบว่า  coworking space เป็นธุรกิจบริการที่นั่งทำงานที่เปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้ามาใช้ร่วมกันได้ มีการคิดค่าบริการในรูปของค่าเช่ารายชั่วโมง รายวัน ไปจนถึงรายเดือน หรือค่าสมาชิกระยะยาว โดยจัดสรรสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ให้ครบครันเช่นเดียวกับออฟฟิศสำนักงานของบริษัทต่างๆ ทั่วไป ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่มักเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพขนาดเล็กที่ไม่ต้องการหรือยังไม่พร้อมเปิดสำนักงานอย่างเต็มรูปแบบเป็นของตนเอง ผู้ทำงานอิสระ (freelance) ที่ต้องการที่นั่งทำงานในสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้มีแรงบันดาลใจในการทำงานมากกว่าการนั่งทำงานที่บ้าน รวมจนถึงการมีโอกาสได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจากสาขาอาชีพเดียวกันและสาขาอาชีพอื่นๆ ทั้งนี้ พบว่า บริษัทหรือองค์กรขนาดใหญ่ในบางประเทศเริ่มมีการใช้คอนเซ็ปต์ coworking ด้วยเช่นกัน โดยจัดให้พนักงานบางแผนกทำงานใน coworking space เพื่อให้มีโอกาสพบปะกับมืออาชีพนอกองค์กรและเป็นช่องทางในการเพิ่มแรงบันดาลใจในการทำงาน

 

แห่รุก coworking space ในสำนักงานขนาดใหญ่

นางสาวยุพา เสถียรภาพอยุทธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการธุรกิจอาคารสำนักงาน บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ  JLL เปิดเผยว่า  ผู้ประกอบการ coworking space ในกรุงเทพฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เปิดให้บริการในตึกขนาดเล็กถึงขนาดกลาง พบว่า เริ่มมีการเปิดให้บริการตามอาคารสำนักงานอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น ตัวอย่างของ coworking space ที่เปิดให้บริการในอาคารสำนักงานเต็มรูปแบบ ได้แก่ Glowfish ที่อาคารอโศกทาวเวอร์และจะเปิดสาขาเพิ่มเร็วๆ นี้ที่อาคารสาธานี, Draft Board ที่อาคารอรกานต์ย่านชิดลม, Meticulous Offices และ Cluster Offices ซึ่งทั้งสองรายเปิดบริการที่อาคารเอสเอสพีทาวเวอร์ ถนนเอกมัย, Kloud ที่อาคารฟลอริช รัชดาภิเษกซอย 18, Pencave ที่อาคารในป่า อาร์ท คอมเพลกส์ สุขุมวิท 46 และ BIGWork ที่อาคารสาธรนครทาวเวอร์

นอกจากนี้ ผู้ให้บริการ coworking space บางราย เดิมทีคือผู้ให้บริการ serviced office หรือสำนักงานสำเร็จรูปขนาดเล็กให้เช่า (มีเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้สำนักงาน โทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต ตลอดไปจนถึงบริการแม่บ้าน) ซึ่งภายหลังได้ขยายมาให้บริการ coworking space ร่วมด้วย เพื่อรองรับความต้องการที่กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นจากธุรกิจสตาร์ทอัพและผู้ทำงานอิสระ ตัวอย่างของผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ ได้แก่ Regus ซึ่งเปิดบริการในอาคารสำนักงานกว่า 10 แห่งทั่วกรุงเทพฯ, Antares Office ที่อาคารอาร์เอสยูทาวเวอร์ ถนนสุขุมวิท และ CEO Suite ที่แอทธินีทาวเวอร์ ถนนวิทยุ นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ coworking space จากต่างประเทศหลายรายที่มีแผนหรือกำลังหาโอกาสการเข้ามาเปิดบริการในกรุงเทพฯ

 

 ต่างชาติจ้องถือหุ้นเจ้าของอาคารลดค่าใช้จ่าย

ขณะนี้มีผู้ประกอบการ coworking space หลายรายทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกกำลังหาโอกาสเข้ามาเปิดธุรกิจในกรุงเทพฯ ซึ่งส่วนใหญ่มีแผนที่เข้ามาอย่างเต็มรูปแบบ โดยต้องการพื้นที่สำนักงานขนาดใหญ่ระหว่าง 1,000-3,000 ตารางเมตรในอาคารสำนักงานเกรดเอ ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าหรือรถไฟฟ้าใต้ดินโดยส่วนใหญ่ ผู้ประกอบการเหล่านี้ ต้องการเข้ามาลงทุนในรูปของการเป็นหุ้นส่วนกับเจ้าของอาคาร ด้วยการเสนอการแบ่งปันผลกำไรที่ได้จากการดำเนินการให้ แลกกับการจ่ายค่าเช่าในอัตราต่ำกว่าทั่วไป อย่างไรก็ดี ข้อตกลงการเป็นหุ้นส่วนในลักษณะดังกล่าว ยังเป็นแนวคิดใหม่สำหรับเจ้าของอาคารในกรุงเทพฯ ซึ่งส่วนใหญ่ยังต้องการเก็บค่าเช่าเต็มอัตรามากกว่า โดยเฉพาะในภาวะปัจจุบันที่ตลาดอาคารสำนักงานเกรดเอมีปริมาณไม่เพียงพอรองรับความต้องการของผู้เช่า

 

ทั้งนี้ภาวะขาดแคลนพื้นที่สำนักงานนับเป็นความท้าทายสำคัญ สำหรับผู้ประกอบการ coworking space รายใหญ่ที่ต้องการเข้ามาเปิดธุรกิจ และรายปัจจุบันที่ต้องการขยายกิจการ เนื่องจากอาคารสำนักงานคุณภาพดีในทำเลใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสและรถไฟใต้ดินส่วนใหญ่มีผู้เช่าเต็ม หรือเกือบเต็ม

 

“ผู้ประกอบการ coworking space บางรายต้องหันไปพิจารณาอาคารสำนักงานเกรดรองแทน แต่ยังคงต้องอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสและรถไฟใต้ดิน นอกจากนี้ ผู้ประกอบการ coworking space รายใหม่หรือรายเดิมที่ต้องการขยายสาขาบางรายต้องหันไปเลือกพิจารณาอาคารเกรดเอที่กำลังใกล้จะสร้างเสร็จ ซึ่งโดยทั่วไปยังคงมีพื้นที่ว่างเหลือให้จับจองมากกว่าอาคารที่มีอยู่เดิม” นางสาวยุพากล่าว

 

อย่างไรก็ตามธุรกิจ coworking space ในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อไปอีก ทั้งนี้ นอกเหนือจากธุรกิจสตาร์ทอัพ และผู้ทำงานอิสระ มีความเป็นไปได้ที่บริษัทหรือองค์กรขนาดใหญ่จะหันมาใช้บริการ coworking space ด้วย ดังที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ โดยบริษัทขนาดใหญ่บางบริษัทได้เช่าที่นั่งทำงานใน coworking space เพื่อให้พนักงานในบางหน่วยงานของตนได้มีโอกาสไปนั่งทำงานร่วมกับธุรกิจสตาร์ทอัพ หรือผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่เพิ่งตั้งกิจการ ตลอดรวมไปจนถึงผู้ทำงานอิสระ ตัวอย่างเช่น WeWork ผู้ให้บริการ coworking space รายใหญ่ของโลก มีบริษัทชั้นนำหลายรายเป็นลูกค้าใช้บริการในลักษณะดังกล่าว เช่น KPMG, Merck, Dell, McKinsey & Co. และ Salesforce.com

 

“ข้อดีประการหนึ่งของการใช้พื้นที่ทำงานร่วม คือการมีสภาพแวดล้อมของสังคมซึ่งกระตุ้นให้เกิดการปฏิสัมพันธ์และการแลกเปลี่ยนความรู้ สอดรับกับไลฟ์ไตล์ของคนทำงานและวัฒนธรรมองค์กรที่กำลังเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจยุคดิจิทัล ดังนั้น เชื่อว่า coworking space จะกลายเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ ในอนาคตอันใกล” นางสาวยุพา กล่าวในที่สุด