พรีเมียร์โฮม เฮลท์แคร์ฯเผยต่างชาติสนร่วมทุนบ้านผู้สูงอายุ แย้มอาจเห็นความชัดเจนในเฟส2 เล็งขยายฐานลูกค้ากทม.-ปริมณฑล-หัวเมืองท่องเที่ยว พัฒนาต่อเนื่องในราคาจับต้องได้ ระบุเฟส1เปิดขาย6เดือน ยอดกว่า 300 ยูนิต มูลค่า 1,500 ล้านบาท พบนักธุรกิจอายุเกิน60ปีให้ความสนใจมากถึง 70% ขณะที่คนโสด-หย่าร้าง สัดส่วน 30% ล่าสุดตั้ง 5 เอเยนซี่ยักษ์ใหญ่รุกขายลูกค้าต่างชาติ20% คาดเฟส1 ปิดขายภายในกลางปี61

 

มร.จอห์น ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีเมียร์โฮม เฮลท์แคร์ จำกัด เครือโรงพยาบาลธนบุรี ผู้ดำเนินโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เปิดเผยว่า ปัจจุบันเริ่มมีผู้ประกอบการไทยเริ่มมีการขยายธุรกิจหันมาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุมากขึ้น ตนมองว่าเป็นเรื่องดี แม้จะมีการแข่งขันที่มากขึ้นแต่บริษัทก็มีจุดขายที่แข็งแกร่งและพัฒนาให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับประเทศญี่ปุ่นแม้จะก้าวล้ำด้านเทคโนโลยีด้านที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุมากกว่าประเทศไทย แต่การพัฒนาที่อยู่อาศัยก็ต้องปรับปรุงให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนไทย โดยเฉพาะในเรื่องอาหารและการใช้ชีวิตประจำวัน ที่จะแตกต่างจากญี่ปุ่นในหลายประการ

 

“จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ จะเน้นในเรื่องวิถีชีวิต สังคมไทยในอดีตผู้สูงอายุลูกหลานต้องดูแล แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป พบว่า 20% ของคนไทยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีความต้องการสังคมและภายในไม่กี่ปีก็จะมีกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้น และจากประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ โรงแรมและโรงพยาบาล ของทีมงานบริษัทจึงมีความเข้าใจไลฟ์สไตล์ของผู้สูงอายุ และมองว่าควรมีการพัฒนาโครงการในรูปแบบนี้ให้มากขึ้น เพื่อรองรับกลุ่มผู้สูงอายุ” มร.จอห์น กล่าว

มร.จอห์น กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนการร่วมทุนกับพันธมิตรนั้นก็มีโอกาสที่จะเกิดขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรหลายราย ส่วนใหญ่เป็นประเทศในแถบเอเชีย ซึ่งอาจจะเป็นการร่วมทุนในเฟสที่ 2 แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้  ส่วนเฟส1 ซึ่งมี 2 คลัสเตอร์ 6 อาคาร ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือEIA คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี2561

 

นอกจากนี้ยังมีอีกกลุ่มผู้สูงอายุที่มาจากต่างประเทศ ที่ไม่มั่นใจว่าจะมาพักอาศัยระยะยาวได้หรือไม่ ในเบื้องต้นจะขอเช่าระยะสั้น 1-2 ปี ซึ่งขณะนี้บริษัทฯยังไม่ได้ตัดสินใจ แต่อาจจะเป็นไปได้ที่เฟส2 จะมีการปล่อยเช่าตามความต้องการของตลาด  ส่วนอีกกลุ่มก็สนใจที่จะมาใช้บริการในช่วงกลางวัน เป็นรายวัน รายสัปดาห์หรือรายเดือน แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจ เพราะไม่มีนโยบายที่จะดำเนินธุรกิจในรูปแบบของโรงแรมแน่นอน

 

“การทำโครงการประเภทนี้มีความท้าทายมาก เพราะทำให้เรียนรู้วิถีชีวิตของผู้สูงอายุ  เชื่อว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ตลาดจะเปลี่ยนไป มีผู้สูงอายุที่มีความต้องการผู้ดูแลมากขึ้น รวมไปถึงเทคโนโลยีก็จะเปลี่ยนไป เนื่องจากสังคมมีการเปลี่ยนแปลง จึงต้องปรับแผนด้วยการนำระบบไอทีเข้ามาใช้มากขึ้น ด้านการออกแบบก็เน้นตามความต้องการในอนาคต”มร.จอห์น กล่าว

อย่างไรก็ตามในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ในอนาคต ด้วยขณะนี้มองที่ดินไว้หลายแห่ง พื้นที่ตั้งแต่ 100 ไร่ขึ้นไป ทั้งในกทม.-ปริมณฑล  ซึ่งเหมาะที่จะรองรับกลุ่มลูกค้าคนไทย และทำเลหัวเมืองท่องเที่ยว ที่เหมาะสำหรับรองรับชาวต่างชาติ โดยดูจากความต้องการในพื้นที่เป็นเกณฑ์และราคาที่ดินไม่แพง เพื่อที่จะสามารถเปิดขายโครงการได้ในราคาจับต้องได้ แต่สามารถสร้างมูลค่าได้ในอนาคต และการเดินทางสะดวกสบาย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

ด้าน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด บริษัท พรีเมียร์โฮม เฮลท์แคร์ จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่เปิดตัวโครงการไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าสามารถทำยอดขายในส่วนของเฟส1 คลัสเตอร์ 1-2 จำนวน 6 อาคาร 494 ยูนิต ได้แล้วกว่า 300 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวม 1,500 ล้านบาท  โดยลูกค้าที่ซื้อส่วนใหญ่เป็นเจ้าของธุรกิจในสัดส่วน 70%,กลุ่มเกษียณอายุที่เป็นระดับผู้บริหารในองค์กรภาครัฐและเอกชน สัดส่วน 20% และกลุ่มที่บุตรหลานซื้อไว้เพื่อให้บุพการีได้มาพักผ่อนในช่วงวันหยุดสัดส่วน 10% ทั้งนี้จำนวนลูกค้าที่ซื้อสัดส่วน 50% เป็นกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป,สัดส่วน 30% อายุตั้งแต่ 50-60 ปี และสัดส่วน 20%อายุ 35-50% โดยลูกค้าที่ซื้อส่วนใหญ่พักอาศัยอยู่ในกทม.-ปริมณฑล 95% ส่วนต่างจังหวัดมีสัดส่วนเพียง 5%

 

โดยส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตที่มีทั้งเป็นครอบครัวที่อบอุ่น จะมีกลุ่มคนโสด-หย่าร้าง แต่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีความต้องการสังคม และผู้ดูแลอย่างมีคุณค่า สัดส่วนถึง 30% ซึ่งกลุ่มผู้สูงอายุในปัจจุบันไลฟ์สไตล์ส่วนใหญ่จะมีความต้องการใช้เงินหลังเกษียณอายุ ด้วยการท่องเที่ยว ดูแลสุขภาพอย่างดี ให้ความสำคัญกับการเข้าสังคม ซึ่งต่างจากในอดีตที่ผู้เกษียณอายุมักจะนิยมอยู่กับครอบครัวเลี้ยงลูกหลาน ซึ่งความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเริ่มเห็นความชัดเจนเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา

 

ส่วนเฟส2 ซึ่งเป็นในส่วนคลัสเตอร์ 3-4 จำนวนกว่า 800 ยูนิต 7 อาคาร จะเปิดตัวในกลางปี 2561 จากทั้งโครงการที่มีจำนวน 1,380 ยูนิต มูลค่าทั้งหมด 18,000 ล้านบาท คาดว่าราคาขายจะปรับขึ้นมาประมาณ 10-15% จากที่เปิดขายครั้งแรกราคาขายอยู่ที่ 85,000 บาท/ตารางเมตร หรือเริ่มต้นที่ 3.69-5.7 ล้านบาท โดยระยะเวลา 6 เดือนปรับขึ้นมาที่ 90,000 บาท/ตารางเมตร คาดว่าทั้งโครงการจะสามารถปิดการขายได้ภายในปี2561

สำหรับลูกค้าต่างชาตินั้นจะเน้นในสัดส่วนเพียง 20% เท่านั้น และจะเริ่มดำเนินการทางการตลาดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2560 นี้เป็นต้นไป โดยใช้เอเยนซี่ยักษ์ใหญ่จาก 5 ประเทศด้วยกันคือ จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย ซึ่งบริษัทฯจะแยกอาคารที่1 ในคลัสเตอร์ 1 ไว้ให้ชาวต่างชาติกลุ่มดังกล่าวโดยเฉพาะ

 

ทั้งนี้ด้วยสังคมที่เปลี่ยนไปผู้ประกอบการอสังหาฯรายใดที่ไม่คิดจะพัฒนาโครงการเพื่อรองรับผู้สูงอายุ คงอยู่ยาก ซึ่งคงต้องมีการปรับตัว อย่างไรก็ตามแม้ว่าปัจจุบันจะเริ่มมีผู้ประกอบการบางรายหันมาพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงอายุมากขึ้น และพยายามที่จะร่วมมือกับเฮลท์แคร์ต่างๆ แต่ก็ยังไม่เห็นมีรายใดตกลงร่วมทุนธุรกิจได้แต่อย่างใด ส่วนโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ นั้นผู้บริหารมีประสบการณ์ด้านโรงพยาบาลและอสังหาฯมาก่อน จึงสามารถเข้าใจความต้องการดีมานด์และมีการให้บริการที่ครบวงจร และเชื่อว่าภายในอีก 5-6 ปีจะมีจำนวนประชากรผู้สูงอายุมากถึง 1ใน4 จากประชากรในประเทศไทยทั้งหมดประมาณ 68.6 ล้านคน

 

เพื่อเป็นการรองรับกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างชาติ บริษัทฯจึงได้จัดโปรโมชั่นสำหรับผู้จองห้องด้วยสิทธิพิเศษมูลค่าสูงสุดถึง 350,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 30 พฤศจิกายน 2560โดยจะมีงาน Grand Opening โครงการอย่างยิ่งใหญ่เร็วๆนี้