จากความเคลื่อนไหวของการตัดขายสินทรัพย์ของบริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือPACE ซึ่งเป็นหนี้ตั๋วเงินระยะสั้น (B/E), หุ้นกู้และเงินกู้ที่ขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน มูลค่ารวมเกือบ 30,000 ล้านบาท ล่าสุดแหล่งข่าวจากวงการอสังหาฯได้เปิดเผยกับทีมข่าวพร็อพทูมอร์โรว์ ว่า ล่าสุด ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)หรือ SCB ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าหนี้ของ PACE  ได้เชิญผู้ประกอบการอสังหาฯรายใหญ่ของประเทศไทย ประมาณ  8-9 ราย เข้าร่วมประมูลสินทรัพย์ของPACE  ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้น ประกอบด้วย บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด(มหาชน)หรือ RAIMON  ,บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด(มหาชน)หรือS ,บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)หรือ SIRI, บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ,บริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน)หรือ PS ,กลุ่มบริษัท ทีซีซี แลนด์ กรุ๊ป และบริษัท เกษร พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เป็นต้น แต่ล่าสุดกระแสข่าวจากวงในเปิดเผยมาว่า บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) เป็นผู้ชนะการประมูลโครงการทั้งหมดที่PACE ประกาศขาย

 

ต่อกระแสดังกล่าวทีมข่าวพร็อพทูมอร์โรว์ ได้ติดต่อเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงไปยังนายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PACE แต่ไม่สามารถติดต่อได้

 

อนึ่ง ปัจจุบัน บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือPACE เป็นผู้พัฒนาโครงการ มหานคร ,นิมิต หลังสวน,มหาสมุทร และ โครงการ วินด์เชลล์ (WINDSHELL) ซึ่งตั้งอยู่บนถนนนราธิวาสราชนครินทร์ 

 

 

สิงห์ฯสนร่วมประมูลสินทรัพย์PACE

นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด(มหาชน)หรือS เปิดเผยว่า บริษัทได้เข้าไปเจรจาเพื่อซื้อโครงการของบริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือPACE ซึ่งอยู่ระหว่างการเปิดให้ผู้สนใจเข้าร่วมประมูล โดยบริษัทยอมรับว่ามีความสนใจที่จะเข้าซื้อโครงการ PACE ทั้งโครงการที่อยู่ไนประเทศไทยและในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้มีการศึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดโครงการของ PACE ทุกโครงการมาทั้งหมดแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่มีศักยภาพ ตั้งอยู่บนทำเลที่ดี และตรงกับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทที่เน้นการพัฒนาโครงการระดับ Luxury และ Super Luxury แต่อย่างไรก็ตามความชัดเจนต่างๆจะต้องขึ้นอยู่กับผลการประมูลและความคุ่มค่าของการลงทุน ซึ่งทำให้ยังไม่สามารถจะคาดเดาได้ว่าบริษัทจะมีโอกาสได้ซื้อโครงการใดของ PACE หรือไม่

“โครงการของ PACE ทางบริษัทก็สนใจและได้มีการเข้าไปเจรจาในส่วนของการซื้อ แต่ผมก็ไม่รู้ว่า Process การซื้อขายไปถึงตรงไหนแล้ว เพราะมีทีม M&A ที่เป็นคนดูแล แต่เราก็ได้มีการศึกษาโครงการของ PACE มาทั้งหมดทุกโครงการแล้ว ก็ถือว่าเป็นโครงการที่มีศักยภาพ ทำให้มองว่าเป็นโอกาสที่บริษัทสนใจนำไปพัฒนาและบริหารต่อทั้งโครงการในประเทศไทยและที่ญี่ปุ่น ส่วนเรื่องเงินทุนของบริษัทก็พร้อมที่จะลงทุนหากมีโอกาสดีๆเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการซื้อที่ดิน ซื้อกิจการ และซื้อโครงการมาพัฒนาและบริหารต่อ”นายณัฐวุฒิ กล่าว

 

แย้มแผนปี61จ่อผุด3โครงการมูลค่า15,000ล้าน

ด้านแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2561 จะมีการเปิดตัวใหม่อย่างน้อย 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 12,000-15,000 ล้านบาท หรือโครงการละประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการ และบ้านเดี่ยว 1 โครงการ ซึ่งทั้ง 3 โครงการ บริษัทฯมีที่ดินพร้อมพัฒนาโครงการทั้งหมดแล้วและเป็นโครงการระดับ Luxury และ Super Luxury ซึ่งเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน ที่เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัท พร้อมกับตั้งเป้ายอดขายในปี 2561 อยู่ที่ 8,000 ล้านบาท

ขณะเดียวบริษัทคาดว่ายอดโอนจากโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายเฉพาะในส่วนของ S ที่พัฒนาในปี 2561 จะเข้ามาอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท  จากการเริ่มทยอยโอนโครงการ The ESSE Asoke ในช่วงปลายปี 2561 ซึ่งบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ในปัจจุบันอยู่ที่ 9,300 มาจากการขาย 2 โครงการคอนโดมิเนียม คือ โครงการ The ESSE Asoke มูลค่า 4,500 ล้านบาท และโครงการ THE ESSE at SINGHA COMPLEX มูลค่า 4,500 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายทั้ง 2 โครงการรวม 80% โดย Backlog ที่มีอยู่ไนปัจจุบันจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2562 ส่วนในปีนี้บริษัทมั่นใจว่ายอดขายจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8,200-8,300 ล้านบาท หลังจาก 10 เดือนที่ผ่านมาบริษัททำยอดขายได้แล้ว 5,000 ล้านบาท

 

 

พร้อมเปิดขาย”ดิ เอส สุขุมวิท36”

ล่าสุดบริษัทได้เปิดโครการคอนโดมิเนียมหรูใหม่อีก 1 โครงการ คือ โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ซึ่งเป็นโครงการที่ร่วมทุนกับ ฮ่องกง แลนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากมายในเอเชีย ในอัตราส่วนการลงทุน 51:49 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่ครึ่ง สูง 43 ชั้น 1 อาคาร ขนาด 38.5-252 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 12 ล้านบาท หรือเฉลี่ยที่ 330,000 บาท/ตารางเมตร  โดยจะเปิดพรีเซลในวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2560  คาดว่าจนถึงปลายปี จะสามารถปิดการขายได้ 50% หรือมียอดขายประมาณ 3,200-3,300 ล้านบาท ด้านการก่อสร้างจะเริ่มในไตรมาส1/2561 และแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม 2563

สำหรับภาพรวมแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4/2560 ถึงต้นปี 2561 มองว่าตลาดคอนโดมิเนียมยังมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียระดับ Luxury ที่อยู่ใจกลางเมือง จากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น การเดินหน้าลงทุนโครงการของภาครัฐและการลงทุนของภาคเอกชนที่เริ่มเห็นมากขึ้น ส่งผลต่อความมั่นใจของผู้บริโภค และทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับบนปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ คือ สถานการณ์ของตลาดและความมั่นใจ ซึ่งปัจจุบันมีสัญญาณบวกที่ดีออกมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ในแง่ของพวามต้องการยังมีความต่องการซื้อที่อยู่อาศัยระดับบนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ซัพพลายของโครงการระดับบนที่ออกมายังไม่เจอปัญหาซัพพลายล้นตลาด ซึ่งโดยเฉลี่ยจะมีจำนวนซัพพลายของคอนโดมิเนียมระดับบนออกมาใหม่อยู่ที่ 8,000 ยูนิต/ปี โดยใน ณ สิ้นไตรมาส 3/60 มีจำนวนซัพพลายของโครงการคอนโดมิเนียมที่ออกมาใหม่อยู่ที่ 7,800 ยูนิต