ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ คาดปี 60 เติบโตพุ่งกว่า 15% เดินหน้าขยายตลาดกลุ่มรีเทลเน้นความแตกต่างสู่การเติบโตที่ยั่งยืน พร้อมทุ่มงบ 8,200 ล้านบาททั้งลงทุนผุดศูนย์การค้าใหม่ และรีโนเวทห้างเก่าให้ทันสมัย

 

นายณภัทร เจริญกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มรีเทล บริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ จำกัด ปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯ ว่า ตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าในปี 2560 จะมีรายได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีที่ผ่านมากว่า 15% สอดคล้องกับจำนวนลูกค้า      ที่เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 200,000 คน/วัน เป็น 250,000 คน/วัน จากทั้ง 10 โครงการในปัจจุบัน โดยแต่ละโครงการสามารถสร้างรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เป็นผลมาจากการพัฒนาให้ทุกโครงการสามารถตอบโจทย์ลูกค้าในทุกทุกไลฟ์สไตล์ทั้งยังสามารถเข้าถึงได้ง่าย จึงกลายเป็นรากฐานของธุรกิจที่แข็งแกร่งให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยในปี 2561 คาดว่าจะสามารถทำรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 3,500 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 17% จากปัจจัยในการพัฒนาและปรับปรุงศูนย์การค้าในเครือ รวมถึงการเติบโตของตลาดท่องเที่ยวที่จะเป็นหัวใจสำคัญ

นายณภัทร เจริญกุล

ทั้งนี้แผนพัฒนาในปี 2561 และ ปี 2562 จะดำเนินการปรับพื้นที่ของแต่ละศูนย์ฯ ให้สามารถเติมเต็มไลฟ์สไตล์ลูกค้าในยุคปัจจุบันได้เต็มรูปแบบยิ่งขึ้น ซึ่งศูนย์ฯ ที่อยู่ระหว่างการปรับโฉมและคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2561 ได้แก่พันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน งบลงทุน 50 ล้านบาท, พันธุ์ทิพย์ บางกะปิ งบลงทุน 50 ล้านบาท และบ็อกซ์ สเปซ รัชโยธิน โดยจะปรับเปลี่ยนเป็น คอมมูนิตี้ มอลล์แนวใหม่ งบลงทุน 100 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังใช้งบประมาณลงทุนในการพัฒนาโครงการ ประกอบด้วย ลาซาล งบลงทุน 500 ล้าน ศูนย์การค้าเกตเวย์ บางซื่อ งบลงทุน 4,000 ล้านบาท   ตะวันนา บางพลี งบลงทุน 1,000 ล้านบาท และตะวันนา พระราม 2 งบลงทุน 2500 ล้านบาท รวมงบลงทุนทั้งสิ้น 8,200 ล้านบาท

 

เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจท่องเที่ยวริมน้ำ อัดกิจกรรมความสนุกตลอดปี 61 พร้อมเปิดโซนซิกเนเจอร์ใหม่ ดึงกลุ่มนักท่องเที่ยนายมานพ คำสว่าง  ผู้จัดการบริหารทรัพย์สิน แบรนด์เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ ฟร้อนท์ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน เอเชียทีคฯ ประสบความสำเร็จและกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทย โดยได้รับรางวัลการันตีมากมาย อาทิ รางวัล ‘People’s Choice Award 2017’ สาขาแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ซึ่งจัดขึ้นโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

 

โดยปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในโครงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะทะลุเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ 12 ล้านคน ภายในปี 2560 ทั้งจากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตลอด 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจำนวนมากนั้นแสดงให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจในย่านนี้ ซึ่งทางเอเชียทีคเองก็เป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการธุรกิจริมน้ำเจ้าพระยาทุกราย ในการร่วมกันพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจ เพื่อช่วยกระตุ้นให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและธุรกิจ MICE  ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามีความคึกคักและช่วยผลักดันสู่การเป็นหนึ่งใน Global Destination ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องเดินทางมาเยือน ซึ่งเป็นสัญญาณว่าในปี 2561 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวริม 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในโครงการแบ่งเป็นนักท่องเที่ยวไทย 30% และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 70% โดย 5 ประเทศหลักในโซนเอเชียที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด ประกอบด้วย จีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี และอินโดนีเซีย และยังมุ่งขยายตลาดไปยังโซนยุโรปด้วยเช่นกัน

 

เกตเวย์ เอกมัย สร้างปรากฎการณ์ใหม่ เติบโตสูงสุด 15% ท่ามกลางกระแสเดือดธุรกิจรีเทลย่านเอกมัย-สุขุมวิท ตั้งเป้าปี’61 สร้างกิจกรรมขยายตลาดกลุ่มครอบครัว โดยนางสาวราชพฤกษ์ อุบลศรี ผู้จัดการบริหารทรัพย์สิน แบรนด์เกตเวย์ เอกมัย และเซ็นเตอร์พ้อยท์ ออฟ สยามสแควร์ เปิดเผยว่า ตลอดปี 2560 ศูนย์เกตเวย์ เอกมัย มุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ทั้งร้านค้าและบริการที่ได้รับความนิยมไว้อย่างครบครัน  โดยตลอดปียังได้จัดกิจกรรมต่างๆ มากมาย และได้รับความสนใจมีผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้รวมอยู่ที่ 338 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15% จากปี 2559 ทั้งนี้ ยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์กิจกรรมดีๆ ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องในปี 2561

 

ขณะที่การแข่งขันในธุรกิจรีเทลย่านสุขุมวิท โดยรอบศูนย์ฯ นั้นมีการแข่งขันที่สูง ทำให้ต้องพยายามหาจุดเด่นเพื่อสร้างความแตกต่าง โดยมองว่ากลุ่มครอบครัวจะเป็นกลุ่มที่ตอบโจทย์กับการศูนย์การค้าฯ มากที่สุด จึงได้วางแผนขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มครอบครัวเพิ่มขึ้น

 

เซ็นเตอร์พ้อยท์ ออฟ สยามสแควร์ สร้างรายได้ทะลุ 200 ล้านบาท พร้อมตอกย้ำความเป็น ‘Beauty & Fast Trend’ เปิดตัวร้านค้าใหม่ต่อเนื่อง ดูดลูกค้ารุ่นใหม่ย่านสยามสแควร์

 

ขณะที่พันธุ์ทิพย์ เดินหน้าปรับโฉมสาขางามศ์วาน-บางกะปิ หลังดัน ‘พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ’ ให้กลายเป็นศูนย์การค้าแห่งเทคโนโลยีไอที โดยชู อี-สปอร์ต เป็นตัวดึงกำลังซื้อ ซึ่งนายวีรฤทธิ์ สมบูรณ์ทรัพย์ ผู้จัดการบริหารทรัพย์สิน แบรนด์พันธุ์ทิพย์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนการปรับโฉมศูนย์ฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวสู่ผู้นำศูนย์การค้าด้านเทคโนโลยีไอที นำร่องด้วยพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ และล่าสุดกับพันธุ์ทิพย์ เชียงใหม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการปรับโฉมพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน และบางกะปิ ตลอดปีที่ผ่านมาพันธุ์ทิพย์ได้จัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องทุกเดือน โดยจำนวนลูกค้าที่ได้เข้ามาใช้บริการที่ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำในปีนี้ มีปริมาณเพิ่มขึ้นกว่า 40% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และคาดว่า จะมีรายได้เติบโตประมาณ 15% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่ให้ความสนใจเข้าดูพื้นที่และเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้ง Gaming Zone, Mobile Zone, และ Technology Lifestyle

 

ส่วนกลยุทธ์การพัฒนาธุรกิจนั้น นายวีรฤทธิ์ กล่าวเสริมว่า แผนในช่วงปลายปีนี้ ไปจนถึงต้นปีหน้า  ทางศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ จะมีการจัดงานแข่งขันเกมระดับภูมิภาคจากค่าย Point Bank และ True Digital Plus โดยที่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจะจัดขึ้นที่ Pantip E-Sport Arena นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมส่งเสริมการขายให้กับร้านค้า เช่น งาน Notebook For Life  ในช่วงเดือนธันวาคม  รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการขายสำหรับลูกค้าชาวต่างชาติ และกิจกรรมส่งเสริมการขายจากร้านค้าต่างๆ เป็นต้น เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ลูกค้าในแบบวงกว้างถึงความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและไอทีแบบครบครันและครบวงจรที่สุดในประเทศ

 

ตะวันนา บางกะปิ ปรับคอนเซปต์เพิ่มความทันสมัย ดันสู่ตลาดชุมชนโมเดลใหม่เป็นรายแรกของเมืองไทย นายศุภเดช เลิศพยับ ผู้จัดการบริหารทรัพย์สิน แบรนด์ตะวันนา เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 20 ปี ที่ผ่านมา ตลาดนัดตะวันนา ได้มีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและได้รับกระแสตอบรับจากกลุ่มลูกค้าในฐานะตลาดนัดติดแอร์ที่ใหญ่ที่สุดในย่านบางกะปิ เป็นศูนย์รวมสินค้าแฟชั่นที่คุ้มค่าและทันสมัยอย่างครบครัน ท่ามกลางบรรยากาศที่ดึงดูดในการช้อปปิ้ง โดยในปี 2560 ยังได้มีแผนการปรับรูปแบบของตลาดนัดให้มีรูปแบบสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเหมายในปัจจุบันโดยปรับสู่การเป็นตลาดชุมชน ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างคอมมูนิตี้มอลล์และตลาดนัด สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภค 3 ประการ ได้แก่  ประการที่ 1 การตอบสนองความต้องการในการจับจ่ายสินค้าและบริการในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ประการที่ 2 รักษาความเป็นตลาดนัดยอดนิยมซึ่งลูกค้ายังสามารถมา สังสรรค์ได้ ประการที่ 3 ราคาสินค้าจะต้องเป็นราคาที่สามารถจับต้องได้และคุ้มค่า สำหรับกลุ่มเป้าหมายของลูกค้าจะอยู่ในพื้นที่  3-5 กิโลเมตร เป็นลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ C- ถึง B-

 

นอกจากนี้ ตลาดนัดตะวันนา ยังเป็นตลาดชุมชนที่มีแบรนด์หลักชั้นนำเช่นเดียวกับในศูนย์การค้าหรือคอมมิวนิตี้มอลล์ อาทิ ซุปเปอร์มาร์เก็ต, แฟชั่นเสื้อผ้ารายใหญ่, โรงภาพยนตร์, มีศูนย์ซ่อมขนาดใหญ่ เป็นต้น โดยบริษัทฯ จะดำเนินการพัฒนาและก่อสร้างโครงการตะวันนา พร้อมกัน 3 ทำเล ประกอบด้วย บางกะปิ  บางพลี และพระราม 2

 

ทั้งนี้ หากให้วิเคราะห์ถึงภาพรวมการแข่งขันด้านธุรกิจรีเทลในไทย ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ มีความเห็นต่อประเด็นดังกล่าวว่านายณภัทร กล่าวว่า “ปัจจุบันการแข่งขันในตลาดรีเทลทั้งกรุงเทพฯ และเมืองเศรษฐกิจมีอัตราที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปอีก 1-2 ปีข้างหน้า ดังนั้น ผู้ประกอบการที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยความต่างและศักยภาพในการตอบโจทย์ของลูกค้า แต่การลงทุนในเมืองขนาดใหญ่ในไทยยังมีความน่าสนใจและมีช่องทางในการลงทุน เนื่องจากการเติบโตของแต่ละเมือง ทั้งการขยายตัวของการท่องเที่ยวที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง และเป็นจุดสำคัญในการดึงดูดนักลงทุน โดยบริษัทฯ จะเน้นการเพิ่มมิติใหม่ๆ ให้แก่วงการธุรกิจรีเทลในไทย ทั้งการใช้โมเดลตลาดชุมชน         ที่ผสมผสานความลงตัวระหว่างผู้เช่ารายใหญ่และรายย่อย เพื่อที่จะสามารถดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่องเพื่อการเติบโตในระยะยาว รวมถึงต้องพัฒนารูปแบบศูนย์การค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อเติมเต็มความต้องการของกลุ่มลูกค้าในปัจจุบันที่ต้องการแสวงหาความต่าง แปลกใหม่ ไม่จำเจ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้โดยตรง