กลุ่มเอปัสฯ เปิดแผนปี61 ปรับกลยุทธ์ลงทุนผุด 4 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท ประกาศผนึกพันธมิตรขยายฐานกทม.ครั้งแรก นำร่อง 2 โครงการย่านรังสิต-จตุจักร มั่นใจจุดแข็งเข้าใจดีมานด์ในพื้นที่ ตั้งเป้ายอดขาย3ปีโต3เท่าจากปัจจุบันที่ 1,500 ล้านบาท หวังปูทางเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯภายใน3-5 ปี

 


นายเฉลิมพล โขนแจ่ม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอปัส ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด
เปิดเผยว่า จากประสบการณ์การดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่พัทยา จ.ชลบุรี มากว่า 10 ปี พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วจำนวน  3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ APUS CONDOMINIUM มูลค่าโครงการ 600 กว่าล้านบาท ปัจจุบันปิดการขายไปแล้ว , CETUS มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท ปัจจุบัน เหลือขายเพียง 2% และDELMARE BEACHFRONT มูลค่า 1,800 ล้านบาท ขณะนี้มียอดขายแล้ว 82%ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากลูกค้าในพัทยา และจากกรุงเทพฯ

 

 

สำหรับทิศทางการดำเนินงานนับจากนี้จะขยายฐานการลงทุนเพื่อสอดรับกับแผนงานที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯภายในระยะเวลา 3-5 ปี โดยเริ่มจากปี2561 ที่จะพัฒนาประมาณ 4 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการพัฒนาในกทม.ครั้งแรก จำนวน 2 โครงการ โดยเป็นการร่วมมือกับผู้ประกอบการขนาดกลางที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดกทม.ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยทั้ง 2 โครงการมีที่ดินรองรับแล้ว คือ ย่านรังสิต ใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ มูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาท มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อปล่อยเช่านักศึกษา และทำเลย่านวิภาวดี ใกล้สวนจตุจักร เป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ มูลค่าประมาณ 600-700 ล้านบาท ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลและสัดส่วนการร่วมทุนกับพันธมิตรได้ คาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ในปี2561

 

ส่วนอีก 2 โครงการ ตั้งอยู่ทำเลพัทยาเหนือ ใกล้เทอมินอล21 บนพื้นที่ 4 ไร่เศษมีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดฯ 1 อาคาร สูง 8 ชั้น จำนวน 200 ยูนิต ขนาด 28ตารางเมตรขึ้นไป ราคาประมาณ 80,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป และโรงแรม 1 อาคาร รวมมูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ว่าทั้ง 2 รูปแบบจะมีสัดส่วนเท่าไหร่ คาดว่าจะสรุปได้ในต้นปี2561

 

“การที่เรากล้าเข้าไปลงทุนในกทม.เพราะมั่นใจในจุดแข็งเรื่องการเข้าใจในความต้องการของดีมานด์ในพื้นที่ รวมไปถึงต้องการกระจายพอร์ตสินค้าสนหลากหลายทำเลมากขึ้น เช่นเดียวกับการรุกตลาดโรงแรมครั้งแรกในพัทยาก็เพื่อขยายพอร์ตการลงทุนเช่นกัน”นายเฉลิมพล กล่าว

 

นายเฉลิมพล กล่าวต่อถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯพัทยานั้นหลายคนอาจจะมีความกังวลในเรื่องของการโอเวอร์ซัพพลาย แต่หากมีการเจาะลูกค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะตลาดระดับกลาง-ล่าง ก็ยังสามารถขายได้ดี และเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งพัทยายังเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพรองจากกทม.ในด้านกำลังซื้อและอสังหาฯ ยิ่งรัฐบาลให้การสนับสนุนโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor:EEC)ที่มีรถไฟความเร็วสูงดอนเมือง-สนามบินสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา และสนามบินอู่ตะเภา รวมไปถึงการสนับสนุนการลงทุนของชาวต่างชาติ จะทำให้จ.ชลบุรี เป็นเมืองระดับโลกและน่าสนใจมาก

 

“อสังหาฯในประเทศไทยยังมีศักยภาพในการลงทุนอีกมากและราคาถูกถึง4-5 เท่าเมื่อเทียบกับจีน ฮ่องกงและสิงคโปร์ จึงทำให้นักลงทุนสนใจเข้ามาซื้ออสังหาฯในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งในพัทยาตอนนี้มีนักลงทุนชาวจีนระดับไฮเอนด์ สนใจเข้ามาซื้อคอนโดฯราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปเพื่อพักอาศัยเป็นบ้านหลังที่สอง บางรายก็มีซื้อยกชั้นด้วยเช่นกัน”นายเฉลิมพล กล่าว

 

ทั้งนี้ที่ผ่านมาผู้ประกอบการอสังหาฯในพัทยาจะมีชาวต่างชาติเข้ามาพัฒนาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวรัสเซีย และมีผู้ประกอบการในท้องถิ่นที่มีความแข็งแกร่งและสายป่านยาวเพียง5-10 รายเท่านั้น แต่ปัจจุบันเริ่มมีผู้ประกอบการชาวจีนเริ่มเข้ามาลงทุนในพัทยาแล้วเช่นกัน และจะเริ่มเห็นความชัดเจนในปี2561

 

โดยในส่วนของบริษัทฯเองก็มีผู้ประกอบการชาวต่างชาติทั้งจากเอเชียและยุโรป สนใจที่จะเข้ามาร่วมทุนประมาณ 4-5 ราย แต่บริษัทก็ยังไม่ตัดสินใจ เพราะต้องการคงความเป็นผู้ประกอบการไทย100% แต่ถ้าหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงเทรนด์การร่วมทุนกับชาวต่างชาติได้เหมือนเช่นที่ปัจจุบันผู้ประกอบการรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯหลายรายได้ทำการร่วมทุนมาแล้ว บริษัทก็คงต้องมีการร่วมทุนตามกระแสด้วยเช่นกัน

 

“เชื่อว่าจุดแข็งที่ทำให้เอปัสฯสามารถแข่งขันกับบริษัทมหาชน หรือบริษัทที่มีผู้บริหารเป็นชาวต่างชาติได้ เพราะเรามีความเข้าใจในตลาดของพัทยาเป็นอย่างดี ทำให้สามารถบริหารต้นทุนรวมถึงค่าการตลาดได้ต่ำกว่า รวมทั้งมี Supply chain ที่แข็งแกร่ง มีพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน จึงสามารถเข้าถึงลูกค้าชาวจีนได้ไม่ยาก นอกจากนี้เรามีความแข็งแกร่งในด้านการเงิน จากการลงทุนที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในหลายๆ โครงการ และการสนับสนุนทางด้านการเงินจากธนาคารชั้นนำ อีกทั้งบริษัทยังมี Land bank มากพอเพื่อการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในทุกปีอย่างต่อเนื่องอีกด้วย” นายเฉลิมพล กล่าว

 

นอกจากนี้ภายในระยะเวลา 2-3 ปีบริษัทฯยังมีแผนขยายเซกเมนต์ตลาดแนวราบพัทยาด้วย ทำเลใกล้สวนนงนุชไร่ ซึ่งเป็นหนึ่งในที่ดินสะสมของครอบครัว จากจำนวนหลายแปลงในพัทยา โดยจะพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว ระดับราคา 3-8ล้านบาท จำนวนประมาณ 200-300 ยูนิต แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

ล่าสุดเตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ บนเขาพระตำหนัก จังหวัดชลบุรี ภายใต้ชื่อ “ANDROMEDA” (แอนโดรเมดา) ดำเนินการโดยบริษัท คลิฟไซด์ เอ็นเตอร์ไพรส์เซส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ เอปัส ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ ในรูปแบบคอนโดมิเนียม สูง 36 ชั้น ขนาด 28-75 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 2.8-11 ล้านบาท จำนวน 216 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,286 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในวันที่ 25-26 พฤศจิกายน 2560 นี้ คาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ 200 ล้านบาท และจนถึงสิ้นปีจะทำยอดขายได้ 50% และปิดการขายได้ในปี2561 โดยทุกโครงการของบริษัทจะเน้นลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงมากกว่าซื้อเพื่อลงทุน และส่วนใหญ่จะเป็นคนไทยมากกว่าชาวต่างชาติด้านการก่อสร้างเริ่มดำเนินการในปี2560 และแล้วเสร็จในปี2561

 

“ผมคลุกคลีอยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด ก่อนดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้บริษัท เอปัส ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด ได้ดูแลธุรกิจของครอบครัว คือ บริษัท บ้านอำเภอเทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นดีลเลอร์ด้านวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ทางภาคตะวันออกของเอสซีจี รวมทั้งธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายสินค้าจากต่างประเทศ เนื่องจากเป็นคนในพื้นที่พัทยาโดยกำเนิด เห็นความเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของทำเลและศักยภาพของพัทยามาโดยตลอด ที่พัทยานี้ ระยะหลังมีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งท้องถิ่น และรายใหญ่จากกรุงเทพ เข้ามาพัฒนาโครงการ ทั้งเพื่อขาย เพื่อปล่อยเช่า ซึ่งตลาดผู้บริโภคที่นี่เป็นตลาดที่หลากหลาย มีทั้งกลุ่มคนไทยที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัย, กลุ่มที่ซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง,  กลุ่ม Expat ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีความต้องการในอสังหาฯ ที่แตกต่างกันไป สำหรับเอปัสแล้ว เรามุ่งพัฒนาโครงการทั้งเพื่อกลุ่มลูกค้าคนไทย และต่างชาติ ใช้เป็นบ้านหลังที่สอง สำหรับการพักผ่อน สิ่งสำคัญที่สุด คือ เราเน้นที่การดีไซน์ และคุณภาพของโครงการเป็นหลัก  เพื่อให้เป็นที่ยอมรับทั้งของคนไทย และชาวต่างชาติ และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้พัทยา มีความเติบโตและยั่งยืนต่อไป”นายเฉลิมพล กล่าว

 

อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าไว้ยอดขายไว้ที่ 1,500 ล้านบาท เติบโตให้ได้อย่างน้อยปีละ 20% และภายในระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้บริษัทจะมียอดขายเป็น 3 เท่าจากปัจจุบัน หรือที่กว่า 4,000 ล้านบาท