เจ.เอส.พี. สานต่อความสำเร็จ หลังรีแบรนด์ เพิ่ม J Touch Point ปรับสไตล์การออกแบบ เดินหน้าเปิดโครงการต่อเนื่องมาตลอดทั้งปี ทำยอดขายโตทะลุเป้า 60%  พร้อมประกาศวิสัยทัศน์ และกลยุทธ์ทางธุรกิจต่อเนื่องปี 2561 ลุยตลาดบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ที่ 5,200 ล้านบาท โตเพิ่มขึ้นอีก 15% ตั้งงบซื้อที่ 1,500 ล้านบาทในทำเล EEC

 

นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมของบริษัทฯ ในปี 2016 – 2017 หลังจากที่ได้รี-แบรนด์ ใหม่ทำ J Touch Point และปรับโฟกัสสินค้าเน้นเปิดแนวราบ ในกลุ่มราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทเป็นพอร์ตรายได้หลัก และปรับสไตล์การออกแบบ เพิ่มนวัตกรรม J ID บ้านอัจฉริยะ พร้อมกับได้เดินหน้าเปิดโครงการอย่างต่อเนื่องรวมโครงการใหม่และเก่าที่เปิดมีกว่า 20 โครงการส่งผลให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในเรื่อง Revenue growth and Market share โดยในปี 2560 ทำยอดขายได้เพิ่ม 60% และคาดว่าสิ้นปี 2560 รายได้เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 4,500 – 5,000 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทฯ มี (Backlog) ยอดรอโอนเพื่อรอรับรู้รายได้อยู่ที่ 4,000 ล้านบาท

โดยกลุ่มโปรดักส์ที่ทำให้เจ.เอส.พี.ได้รับการจัดอันดับ และสามารถก้าวขึ้นมาอยู่บนท็อป 10 อสังหาฯ ของประเทศ ได้แก่โครงการกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ แบ่งเป็น 2 เซ็กเม้นต์ 2 – 2.5 ล้านบาท มูลค่ารวมโครงการ 4,526 ล้านบาท ซึ่งกวาดรายได้ 2,869  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% เมื่อเทียบจากปี 2559 และเซ็กเม้นต์ 3 – 5 ล้านบาท โครงการเจ แกรนด์ สาทร – กัลปพฤกษ์ มีมูลค่าโครงการรวม 610 ล้านบาท ซึ่งกวาดรายได้ 595 ล้านบาท และเป็นโครงการเพิ่งเปิดใหม่ไปเมื่อต้นปี

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจปี 2561 นั้นนายไพโรจน์ กล่าวว่า เพื่อการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด เจ.เอส.พี.จะ Net Profit Growth หรือเป็นปีแห่งการสร้างการเติบโตของกำไรสุทธิให้เติบโตอย่างมั่นคง เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้น และนักลงทุน โดยบริษัทฯ จะมีการใช้กลยุทธ์ ประกอบด้วยกัน 4 มิติได้แก่

 

1.มิติด้านการเงิน บริษัทฯ มีการปรับโครงสร้างทางการเงินโดยมีการดำเนินงานใน 3 ขั้นตอน คือ

  • การเปลี่ยนแหล่งเงินกู้จากระยะสั้นให้เป็นระยะยาวมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเจ.เอส.พี.ได้ทำการชำระหนี้ จำนวน 2,500 ล้านบาท จากหุ้นกู้จำนวน 1,100 ล้านบาท และตั๋วแลกเงินระยะสั้น Bill of Exchange (B/E) จำนวน 1,400 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงทำให้เป็นที่ยอมรับ และได้ความไว้วางใจจากทางธนาคารชั้นนำต่างๆ อีกทั้งยังมีแหล่งเงินทุนสถาบันต่างๆ เข้ามายื่นข้อเสนอในเรื่องการปล่อยกู้เพิ่มมากขึ้น
  • บริษัทฯ มีแผนการจัดหาต้นทุนทางการเงินให้ต่ำลง
  • มีการขายทรัพย์สินบางส่วนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ไปพร้อมๆ กัน 

 

2. มิติด้านการบริหารงาน โดยมีการดำเนินงานใน 4 ขั้นตอน ได้แก่

2.1 บริษัทฯ ทำการปรับเพิ่มราคาสินค้าขั้นต้นขึ้นอีก 5 – 10%

2.2  ลดต้นทุนการขาย โดยเน้นทำการตลาดแบบออนไลน์เป็นหลัก เนื่องจากในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้จากออนไลน์ถึง 50% พร้อมกับปรับด้านการบริหารให้มีการจัดไซท์งานให้กระชับพื้นที่มากขึ้น

2.3 ทำการปรับการสร้างสต็อกสินค้าให้สมดุลกับยอดการขายในแต่ละเดือน

2.4  ขณะเดียวกันปีหน้า บริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้ของ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการเจ คอนโด สาทร-กัลปพฤกษ์ราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,890 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 10 ไร่ จำนวน 1,039 ยูนิต จะมียอดรายได้รับรู้ที่ 520 ล้านบาท และโครงการเจ คอนโด พระราม 2 ราคาเริ่มต้น 1.65 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 270 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 1-1-29 ไร่ จำนวน 158 ยูนิต จะมียอดรายได้รับรู้ที่ 210 ล้านบาท

 

3. มิติด้านการพัฒนาสินค้า โดยปีหน้าบริษัทฯ จะมีการปรับโฉมโปรดักส์ และการให้บริการใน 3 ด้าน คือ

3.1  New product & New market จับกลุ่มเซ็กเม้นต์ระดับพรีเมี่ยมเพื่อเพิ่มจีพี (GP) ให้สะท้อน Net ProfitGrowth กำไรสุทธิมากขึ้น โดยหันมารุกเปิดโครงการแนวราบบ้านเดี่ยว บ้านแฝด กลุ่มราคา 3 – 5 ล้านบาทในสัดส่วน 40 – 60%

3.2  มีการปรับนวัตกรรมใหม่ในด้านดีไซน์เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าโดยสัมผัสได้จริง เช่น พื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่แบบ (Extra bonus)

3.3 เน้นการบริการหลังการขายแบบมืออาชีพ โดยตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง

โดยปี 2561โดยมีแผนพัฒนาโครงการแนวราบ จำนวน 6 โครงการ มูลค่ารวมโครงการกว่า 3,975 ล้านบาท โดยจะปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการที่ 1 คือ J  Villa Exclusive วงแหวน – บางใหญ่ ราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 590 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 27 ไร่ จำนวน 122 ยูนิต ตามด้วยโครงการที่ 2 คือ J Villa บางปะกง – บ้านโพธิ์ ราคาเริ่มต้น 3.5 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 305 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 26 ไร่ จำนวน 95     ยูนิต และโครงการที่ 3 เป็นบ้านเดี่ยว บางเสร่ – ชลบุรี ราคาเริ่มต้น 4.4 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาท เนื้อที่รวมกว่า 57 ไร่ จำนวน 249 ยูนิต

 โครงการบ้านแฝด จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการ J City วงแหวน – บางใหญ่ ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 3 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 580 ล้านบาท เนื้อที่กว่า 35 ไร่ จำนวน 98 ยูนิต  2.โครงการ J Villa รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง ราคาเริ่มต้น 4.1 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท เนื้อที่กว่า 29 ไร่จำนวน 189 ยูนิต และ3.โครงการ The Theorist ราคาเริ่มต้น 12.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท เนื้อที่กว่า 9.5 ไร่ จำนวน 46 ยูนิต ซึ่งทำให้ในปีหน้าบริษัทฯ จะมีโครงการที่เปิดขายพร้อมกับทำการตลาดทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 30 โครงการ

 

ส่วนยุทธศาสตร์ในด้านที่ 4.) มิติด้านการลงทุน โปรเจ็กต์ใหม่ โดยเจ.เอส.พี.ยังคงบุกทำเลฝั่งกรุงเทพตะวันออก (Eastern Bangkok) เนื่องจากคุ้นเคยกับทำเล โดยได้ซื้อที่ดินเพื่อขยายโครงการเพิ่มที่กิ่งแก้ว จ.สมุทรปราการ นอกจากนี้ ยังสนใจในการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ (EEC) จึงได้มีการวางงบลงทุนเข้าซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการจำนวน 1,500 ล้านบาท โดยได้ซื้อที่ดินใน อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา และจ.ชลบุรีเพิ่มเข้ามา ซึ่งจากการสำรวจพบว่า จังหวัดชลบุรีเป็นจังหวัดที่มีรายได้ประชากรสูงเป็นอันดับ 2 ในขณะที่จังหวัดฉะเชิงเทรามีรายได้ประชากรสูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศ อีกทั้งรัฐบาลไทยยังมีการผลักดันให้ภาคตะวันออกเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งมีการเปิดให้ลงทุน และมีการเข้ามาอยู่อาศัยของชาวต่างชาติมากขึ้น รวมทั้งยังเป็นพื้นที่แหล่งงาน แหล่งที่อยู่อาศัย และแหล่งท่องเที่ยว จึงทำให้มีการกระจุกตัวของประชากรสูง ทางบริษัทฯ จึงมีความมั่นใจในการเข้าไปลงทุนยังพื้นที่ทำเลดังกล่าว

 

ริษัทฯ ตั้งเป้ารับรู้รายได้ในอนาคตปี 2561 ไว้ที่ 5,200 ล้านบาท โตเพิ่มขึ้นอีก 15% และปักธงเน้นพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ระดับพรีเมี่ยมให้ติดท็อป 10 แบรนด์อสังหาฯ ในกลุ่มราคา 3 – 5 ล้านบาทให้ได้ภายในปีหน้านี้ ส่วนโปรดักส์ทาวน์เฮาส์หวังขยับขึ้นมาติดท็อป 5  ในตลาดต่ำกว่า 5 ล้านบาทให้ได้เช่นกัน