แสนสิริขยายฐานตลาดพระนครศรีอยุธยา รุกผุดแนวราบมิกซ์โปรดักส์ครั้งแรก ภายใต้แบรนด์ใหม่ “อณาสิริ”มูลค่า 1,000 ล้านบาท หวังกินรวบที่อยู่อาศัย 1-5 ล้านบาท พร้อมรุกแผนดึงนักลงทุนซื้อปล่อยเช่า คาดปิดการขายภายใน 2 ปี มั่นใจยอดขายแนวราบทั้งปีเป็นไปตามเป้า 15,000 ล้านบาท

 

 

นางสาววิลาสิณี เดชอมรธัญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ในช่วงปลายปี2560นี้บริษัทได้ขยายฐานตลาดแนวราบมิกซ์โปรดักส์แบรนด์ใหม่มายัง จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นครั้งแรก เนื่องจากผลการศึกษาพบว่าพระนครศรีอยุธยามีศักภาพสูง เป็นศูนย์กลางการเดินทางไปยังภาคเหนือและภาคอีสาน เปรียบดังบ้านหลังที่ 2 ของคนกรุงเทพฯ มีประชากรตามทะเบียนราษฎร์เกือบ 800,000 คนและประชากรแฝงอีก 300,000 คน อีกทั้งเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ถึง 5 แห่งทำให้มีผู้คนย้ายเข้ามาในพื้นที่เป็นจำนวนมากและมีความต้องการที่อยู่อาศัย ซึ่งดีมานด์หลักคือกลุ่มคนในท้องถิ่น หน่วยงานราชการ รวมไปถึงแรงงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ย้ายมาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม ที่ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่อาศัยเอง และปล่อยเช่า และยังเป็นจังหวัดที่เป็นเส้นทางผ่านของรถไฟความเร็วสูง จากกทม.-เชียงใหม่ ที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี2570 ขณะเดียวกันการแข่งขันก็ยังไม่ดุเดือดมากมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท

 

 

สำหรับซัพพลายในทำเลพระนครศรีอยุธยา ส่วนใหญ่เน้นเปิดโครงการทาวน์เฮาส์ โดยมีจำนวนซัพพลายทั้งหมด 3,072 ยูนิต คิดเป็น 55% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด รองลงมาคือบ้านเดี่ยว มีจำนวนซัพพลายทั้งหมด 2,249 ยูนิต คิดเป็น 40% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด และ คอนโดมิเนียม มีจำนวนซัพพลายทั้งหมด 294 ยูนิต คิดเป็นส่วนแบ่ง 5% ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมด โดยทาวน์เฮาส์มีดีมานด์มากสุด 57% บ้านเดี่ยว 38% และคอนโดฯ 5%

 

 

ทั้งนี้ดีมานด์ที่นิยมที่สุดคือ ทาวน์เฮาส์ ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยโซนนิคมอุตสาหกรรมได้รับความนิยมสูงสุด อัตราการดูดซับโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ขณะที่บ้านเดี่ยวราคาที่ได้รับความนิยมคือ 3.00-4.99 ล้านบาท ในโซนอยุธยา-บ้านแพรก อัตราตอบรับดีเฉลี่ย 3 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ ส่วนราคาที่ดินของอยุธยา โซนที่ราคาสูงที่สุดอยู่ที่โซนนิคมอุตสาหกรรม ถนนโรจนะ ถนนพหลโยธินใน    อ.บางปะอิน ซึ่ง เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรม อยู่ที่ประมาณ20,000-50,000 บาทต่อตารางวา รองลงมาคือ โซนอยุธยา-บ้านแพรก ถนนอู่ทอง ถนนนเรศวร อยู่ที่ 30,000 – 40,000 บาทต่อตารางวา และโซนลาดบัวหลวง-ผักไห่ ถนน ศรีเสนา ราคาประเมิน อยู่ที่ 15,000-25,000 บาทต่อตารางวา ทั้งนี้มองว่าทำเลอยุธยามีแนวโน้มในการเติบโตที่ดี รายล้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ซึ่งมองว่าพระนครศรีอยุธยาในอนาคตจะเติบโตขึ้นและเป็นทำเลที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ที่น่าจับตามองอีกทำเลหนึ่ง

 

 

สำหรับโครงการแนวราบที่แสนสิริ รุกขยายฐานมาที่จ.พระนครศรีอยุธยาคือแบรนด์ “อณาสิริ” ตั้งอยู่ที่ต.เกาะเรียน อ.พระนครศรีอยุธยา บนพื้นที่ 40 ไร่ รวม 318. ยูนิต ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว ขนาด50.6 ตารางวา ราคา 3.99-5 ล้านบาท จำนวน 74 ยูนิต,ทาวน์เฮาส์ ขนาด 16.2 ตารางวา ราคา 1.89-2.3 ล้านบาท จำนวน142 ยูนิต และบ้านแฝด ขนาด 35.6 ตารางวา ราคา 2.99-3.5ล้านบาท จำนวน 102 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลเฟส1 จำนวน 40 ยูนิต ในวันที่ 25-26พฤศจิกายน 2560 นี้ คาดว่าจนถึงสิ้นปีจะสามารถทำยอดขายได้ 30 ยูนิต และปิดการขายได้ทั้งหมดภายในระยะเวลา 2 ปี

 

ส่วนการซื้อเพื่อการลงทุนในจ.พระนครศรีอยุธยา ยังมีน้อย แต่หลังจากที่แสนสิริทำการเปิดตัวโครงการ “อณาสิริ”แล้ว ก็จะเริ่มทำการตลาดเจาะกลุ่มซื้อเพื่อการลงทุนมากขึ้น ซึ่งทาวน์เฮาส์ในย่านดังกล่าวสามารถปล่อยเช่าได้เดือนละ 4,000-6,000 บาท และบ้านเดี่ยวปล่อยเช่าได้เดือนละ 20,000-25,000 บาท มีอัตราผลตอบแทนประมาณ 5%ต่อปี โดยตลาดหลักที่เป็นผู้เช่าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มชาวญี่ปุ่นที่มาทำงานในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ

 

“ในทำเลนี้มีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาพัฒนาโครงการน้อยมาก เท่าที่เห็นจะมีเพียงบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮาส์จำกัด(มหาชน)ที่พัฒนาโครงการบ้านแบรนด์ สีวลี ระดับราคา4-10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเรามองว่าหากต้องการพัฒนาโครงการและปิดการขายได้เร็ว ต้องพัฒนาโครงการระดับราคา 5 ล้านบาท ซึ่งมองว่ายังมีช่องว่างในการทำตลาด ถือว่าเป็นโครงการมิกซ์โปรดักส์ครั้งแรกของแสนสิริ จึงต้องสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมา และในอนาคตหากทำเลอื่นๆมีช่องว่างตลาดก็สามารถนำแบรนด์ อณาสิริ เข้าไปทำตลาดได้เช่นกัน”นางสาววิลาสิณี กล่าว

 

“ตลาดที่อยู่อาศัยโครงการแนวราบมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องและมีดีมานด์จริงที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยที่สูง ส่งผลให้ปัจจุบันแสนสิริมียอดขายโครงการแนวราบ 10 เดือน อยู่ที่11,300 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากรอบ 10 เดือนของปีก่อนถึงเกือบ 30% โดยที่ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วยอดขาย 10 เดือนอยู่ที่ 8,485 ล้านบาท และก้าวสู่ 75% จากเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท ส่วนเป้ารายได้ตั้งไว้ที่ 14,000-15,000 ล้านบาท จากเป้ารายได้รวมของบริษัทที่ 28,000 ล้านบาท”นางสาววิลาสิณี กล่าวในที่สุด

 

ปัจจุบันแสนสิริ มีโครงการแนวราบ รวมทั้งสิ้น 7 แบรนด์ คือ 1.บ้านแสนสิริ ระดับราคา 50-200 ล้านบาท 2. นาราสิริ ระดับราคา 20 ล้านบาท 3.เศรษฐสิริ ระดับราคา 8-20 ล้านบาท 4. บุราสิริ ระดับราคา 8-20ล้านบาท5.สราญสิริ ระดับราคา 5-8 ล้านบาท 6.คณาสิริ ระดับราคา 4-5 ล้านบาท และ7.อณาสิริ ระดับราคา 1-5 ล้านบาท