เมเจอร์ฯมั่นใจปี61อสังหาฯฟื้นตัว รายใหญ่ยังร่วมทุนต่างชาติต่อเนื่อง เปิดแผนปีหน้าเล็งผุดคอนโดฯ 4 โครงการย่านใจกลางเมือง รวมมูลค่า 8,000 ล้านบาท รับสนใจมิกซ์ยูสหากพันธมิตรมีที่ดินรองรับพร้อมลุย ล่าสุดทุ่มงบเกือบ 2 ล้านบาท เปิดตัว”กอล์ฟซิมมูเลเตอร์”ห้องออกรอบพร้อมไดร์วิ่งเรนจ์ ระบบเทคโนโลยีใหม่ นำร่องโครงการ “มาร์ค สุขุมวิท”คาดยอดขายปี60แตะกว่า 8,000 ล้านบาท

 

 

ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือ MJD เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯในปี 2561 ว่ามีสัญญาณการฟื้นตัวมาตั้งแต่ปี2559 โดยเฉพาะตลาดคอนโดฯดังนั้นในปีหน้าตลาดจะดีขึ้น ผู้ประกอบการรายใหญ่จะกลับมาโหมพัฒนาโครงการใหม่อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ช่วงที่ผ่านมาตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มมีการระบายสต๊อกไปค่อนข้างมาก ทำให้ซัพพลายเริ่มลดลง ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการร่วมทุนกับผู้ประกอบการจากต่างประเทศมากขึ้น และเชื่อว่าในครึ่งปีแรกของปี2561 จะมีการร่วมทุนพัฒนาคอนโดฯมากยิ่งขึ้นอีก ส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดฯระดับกลาง  ขณะเดียวกันภาพรวมของปัจจัยในประเทศมีแนวโน้มที่ดีขึ้นทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ และความชัดเจนของการเลือกตั้ง ส่งผลต่อความมั่นใจในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้กับมาดีขึ้น อย่างไรก็ตามในแง่ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังเผชิญกับปัญหาต้นทุนที่ดินที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้แต่ละบริษัทต้องมีความรอบคอบในการพัฒนาโครงการในแต่ละทำเล

 

 

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2561 ว่า หากเป็นโครงการขนาดใหญ่จะพัฒนาประมาณ 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 8,000 ล้านบาท แต่ถ้าหากเป็นโครงการขนาดเล็กก็จะพัฒนาได้มากกว่า ซึ่งนโยบายของบริษัทจะยังคงรุกการพัฒนาโครงการระดับลักชัวรี่ในย่านใจกลางเมืองอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้มีที่ดินรองรับแล้ว 2 แปลง โดยแปลงแรกเป็นที่ดินย่านหลังสวน พื้นที่ 600 ตารางวา ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนกับ MUST International Trading PTE Ltd. ถือหุ้น 22% และ GMM Singapore Real Estate PTE Ltd. ซึ่งเป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในสาธารณรัฐสิงคโปร์ ถือหุ้น22% และ GRG Global Investments Limited เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ถือหุ้น 5% และ MJD ถือหุ้น 51%  ก่อตั้งบริษัท เอ็มเจดี-เจวี 1 จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท  เพื่อพัฒนาคอนโดฯภายใต้แบรนด์ “มิวนีค” จำนวนไม่เกิน 200 ยูนิต ราคาไม่ต่ำกว่า 300,000 บาท/ตารางเมตร มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวประมาณไตรมาส1/2561 โดยที่ดินแปลงดังกล่าวอาจจะเป็นที่ดินฟรีโฮลด์ (free hold)แปลงสุดท้ายในย่านหลังสวน

 

ส่วนอีกแปลงจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่บนทำเลย่านถนนพหลโยธิน เนื้อที่ 5 ไร่ มูลค่าโครงการอยู่ระหว่างการประเมิน และคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 2/2561 ส่วนอีก 2 แปลงที่เหลืออยู่ในระหว่างการมองหาที่ดินที่จะเข้าไปพัฒนา ซึ่งยังคงเน้นพัฒนาที่ดินในย่านใจกลางเมือง ได้แก่ สาทร สุขุมวิท ลาดพร้าว และพหลโยธิน  โดยตั้งงบประมาณในการซื้อที่ดินในปีหน้าไว้ที่ 4,000 ล้านบาท

 

“เราเน้นการพัฒนาโครงการในรูปแบบคอนโดฯมาโดยตลอด ขณะเดียวกันก็ให้ความสนใจโครงการในรูปแบบของมิกซ์ยูสเช่นกัน เพราะมองว่าเป็นโครงการที่มีความน่าสนใจในการลงทุน เนื่องจากมีความหลากหลาย และสามารถสร้างรายได้ประจำให้กับบริษัท ซึ่งรูปแบบการพัฒนาอาจจะเป็นการพัฒนาทั้งคอนโดมิเนียม พื้นที่ค้าปลีก และอาคารสำนักงาน โดยปัจจุบันอยุ่ระหว่างการมองหาที่ดิน ซึ่งจะต้องเป็นที่ดินแปลงใหญ่ที่สามารถรองรับการพัฒนาโครงการได้ทั้งหมด แต่ที่ดินค่อนข้างหายากและมีราคาแพง หากได้พันธมิตรรายใหญ่ที่มีที่ดินรองรับก็สามารถพัฒนาได้ทันที”ดร.สุริยา กล่าว

 

ล่าสุดได้ทุ่มงบเกือบ 2 ล้านบาท เปิดตัวกอล์ฟซิมมูเลเตอร์ (Golf Simulator) เป็นครั้งแรก บนชั้นคลับเฮ้าส์ (Club House) ความพิเศษเหนือระดับบนพื้นที่ส่วนกลาง ของโครงการ มาร์ค สุขุมวิท (MARQUE Sukhumvit) เป็นครั้งแรก เปิดไฮไลท์ ห้องออกรอบพร้อมไดร์วิ่งเรนจ์ (Golf Simulator) ที่ใช้ระบบเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่สมบูรณ์แบบที่สุดในเมืองไทย เพียบพร้อมกว่า 170 สนามชั้นนำของทั่วโลก จากโอบี คลับ (OB CLUB) ผู้นำด้านการออกรอบ Indoor Golf (Simulator) รายแรกของเมืองไทย โดยช่วงระยะ 2-3 เดือนแรกจะเปิดให้ลูกค้าในโครงการได้ใช้บริการฟรี แต่ถ้าหากมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากก็อาจจะมีการพิจารณาเพื่อเก็บค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา

 

สำหรับผลประกอบการในปี 2561 คาดว่าจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากปีนี้ โดยเฉพาะในแง่ของรายได้ จากการที่จะมีโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างเสร็จและทยอยโอนในตั้งแต่ช่วงต้นปี ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ MARQUE สุขุมวิท มูลค่า 6,000 ล้านบาท และโครงการ M JATTUJAK มูลค่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะผลักดันให้ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2561 เห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น และมีโอกาสพลิกกลับมามีกำไรได้  ส่วนปี2560 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่กว่า 8,000 ล้านบาท