กลุ่มทุนสิงคโปร์ DWG มั่นใจเศรษฐกิจไทยฟื้น การเมืองนิ่ง เดินหน้าลงทุนซื้อคอนโดฯลักชัวรี่ยกล็อตต่อเนื่อง ระบุพอร์ตอสังหาฯในไทยมากสุดถึงกว่า 2,000 ยูนิต มูลค่ากว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ  ชี้ลูกค้าจีนมาแรง เชื่ออีก1-2 ปีขยับขึ้นเป็นตลาดใหญ่สุด ด้านMJD ระบุDWG เหมามารุ ลาดพร้าว,เอกมัย 2 โครงการรวมกว่า 1,000 ล้านบาท  สะท้อนความมั่นใจต่างชาติดันยอดขายทะลุเป้า

 

 

 

 

นายเดนกา วี กรรมการบริหาร DWG กรุ๊ป ซึ่งดำเนินธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจร จากประเทศสิงคโปร์ เปิดเผยว่า ได้ดำเนินธุรกิจดังกล่าวมาประมาณ 25 ปี โดยลงทุนและบริหารอสังหาฯมาหลายประเทศทั่วโลก อาทิ อังกฤษ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบ One Stop Service โดยในประเทศไทยได้เข้ามาลงทุนตั้งแต่ปี2555ซึ่งจะเน้นการซื้อโครงการระดับลักชัวรี่แบบยกล็อต และปัจจุบันได้ให้ความสนใจการลงทุนประเทศไทยมากเป็นพิเศษ เพราะมองว่าตลาดอสังหาฯไทยมีความทันสมัยด้านการดีไซน์และการก่อสร้าง อีกทั้งสภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทยเริ่มฟื้นตัว รัฐบาลมีความมั่นคง ทำให้มีความเชื่อมั่นในด้านการลงทุน และยิ่งจากการที่รัฐบาลไทย-จีน มีความสัมพันธ์ทางด้านการค้าที่ดี ต่อไปในอนาคตจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนของจีนอย่างแน่นอน

 

“เราจะสนใจโครงการระดับลักชัวรี่ หากใครเป็นผู้นำตลาดเราก็สนใจเข้าไปซื้อ อาทิ พาร์ค 24 จำนวนมากกว่า 200 ยูนิต มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท ,โครงการดิ เอส อโศก จำนวน 110 นิต และสิงห์ คอมเพล็กซ์ จำนวน 80 ยูนิต เรียกว่าตั้งแต่เข้ามาลงทุนจนถึงปัจจุบันเรามีพอร์ตในประเทศไทยรวมแล้วมากกว่า 20 โครงการ กว่า 2,000 ยูนิต รวมมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยประเทศไทยจะเป็นพอร์ตที่มีจำนวนยูนิตมากที่สุดจากทุกประเทศที่เข้าไปลงทุน ในขณะที่อังกฤษจะเป็นประเทศที่มีมูลค่าการลงทุนมากที่สุดถึง 300 ล้านปอนด์ โดยเป็นพอร์ตลงทุนในกรุงลอนดอนมากที่สุด 150 ล้านปอนด์ รองลงมาจะอยู่ที่ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์”นายเดนกา กล่าว

 

นายเดนกา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการต่างๆที่ตนเข้าไปลงทุนซื้อยกล็อตนั้น จะนำไปขายให้กับประเทศต่างๆ โดยลูกค้าหลักส่วนใหญ่จะเป็น ฮ่องกง ญี่ปุ่นและไต้หวัน ส่วนลูกค้าอื่นๆจะมาจากมาเลเซีย สิงคโปร์ เมียนมาร์ และจีน โดยเป็นการดีลผ่านตัวแทนขายในแต่ละประเทศ ซึ่งจีนถือว่าเป็นตลาดใหม่ที่กำลังมาแรง คาดว่าภายในระยะเวลา 1-2 ปีนี้จีนจะกลายเป็นตลาดใหญ่ที่สุด ทั้งนี้สินค้าแต่ละล็อตจะใช้ระยะเวลาในการขายประมาณ 6 เดือน และส่วนใหญ่จะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และถ้าหากจะปล่อยเช่า บริษัทก็พร้อมที่จะบริหารจัดการให้ โดยอสังหาฯในประเทศไทยจะให้ผลตอบแทนสูงสุด 6-7%

 

และผู้ประกอบการไทยอีกกลุ่มที่มีความน่าสนใจคือ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)หรือ MJD ที่ถือว่าเป็นผู้นำตลาดลักชัวรี่เช่นกัน ทุกโครงการของเมเจอร์ฯมีจุดแข็งในเรื่องของทำเล ที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า และเป็นคอนโดฯที่สร้างได้สมบูรณ์แบบ และมีสภาพคล่องทางการเงินที่แข็งแกร่ง จึงมีความมั่นใจที่จะลงทุนโครงการของ MJD อย่างต่อเนื่องเช่นกัน

 

 

ด้านดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD กล่าวว่า บริษัทฯประสบความสำเร็จในการขาย Big Lot โครงการ MARU ลาดพร้าว และเอกมัย ให้กับพันธมิตรคือ DWG กรุ๊ป มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท นับเป็นการสะท้อนถึงความไว้วางใจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยและโครงการของ MJD ส่งผลให้ล่าสุด โครงการ MARU ทั้ง 2 ทำเล สามารถทำยอดขายรวมได้กว่า 60% ภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือนหลังเปิดพรีเซลเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา รวมมูลค่า 2 โครงการ 4,300 ล้านบาท โดยโครงการ MARU ลาดพร้าว  ปัจจุบันราคาขายอยู่ที่ 3.8 ล้านบาทขึ้นไป หรือเฉลี่ยที่ 150,000 บาท/ตารางเมตร จำนวนทั้งสิ้น 332 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท  ปัจจุบันมียอดขายแล้ว50% ในจำนวนนี้มีผู้ซื้อชาวต่างชาติ คิดเป็น 17 %  โดยสามารถปล่อยเช่าได้เดือนละประมาณ 28,000-30,000 บาท

 

ส่วนโครงการ MARU เอกมัย ราคาขายอยู่ที่ 7 ล้านบาทขึ้นไป หรือเฉลี่ยที่ 180,000-190,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 333 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท  ปัจจุบันขายไปแล้วกว่า 70% คิดสัดส่วนเป็นยอดซื้อจากชาวต่างชาติมากถึง 36% และสามารถปล่อยเช่าได้เดือนละประมาณ 35,000 บาท โดยทั้ง 2 โครงการ จะเริ่มก่อสร้างในช่วงกลางปี 2561 คาดว่าจะแล้วเสร็ และเข้าอยู่อาศัยได้ช่วงกลางปี2563

 

“ทุกโครงการของเราเป็นแบรนด์ที่พยายามจะตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นคนโสดมากขึ้น ดังนั้นเทรนด์การเลี้ยงสุนัขจึงมีมากขึ้น รวมไปถึงไลฟ์สไตล์คนกทม.จะชอบความเรียบง่าย ใช้วัสดุที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นด้วย เราจึงพัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในปัจจุบัน”ดร.สุริยา กล่าวในที่สุด