“ออริจิ้น”ลุยธุรกิจเชิงรุกต่อเนื่อง ล่าสุด ดึงเชน IHG รับบริหารโรงแรม 3 แห่ง มูลค่า 7,500 ล้านบาทพร้อมผนึกโนมูระลุยแบรนด์ Staybridge Suites ครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก เตรียมเปิดคอนใหม่รวมมูลค่า 25,000 ล้านบาท เริ่มเกมรุก ตลาดแนวราบภายใน 5 ปี จนมียอดโครงการสะสมถึง 35,000 ล้านบาท

 

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจว่า จะดำเนินการผ่าน 3 แนวทางหลักๆ ได้แก่  1.เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 2 .บุกตลาดแนวราบเพิ่ม และ 3. สร้างฐานธุรกิจ Recurring Income ให้เด่นชัดขึ้น ทั้งเดินหน้าเร่งงานก่อสร้างโครงการเดิมที่ได้ประกาศเปิดตัวไปในช่วงก่อนหน้า

 

ตามแผนธุรกิจที่วางไว้ในอนาคตนั้น ORI จะมีสัดส่วนรายได้ จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สำหรับขาย ที่ 70% และธุรกิจอื่นๆ 30%ทั้งนี้ ตาม road map ของ ORI ที่วางไว้ คือ การขึ้นแท่นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าของไทย คือ 1 ใน 3 บริษัทผู้พัฒนาและให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ ภายในปี2565

โดยในปี2561 ยังดำเนินธุรกิจเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ทั้งเปิดโครงการมากขึ้น เริ่มบุกตลาดแนวราบ และศึกษาแผนธุกิจใหม่ๆ โดยเบื้องต้นจะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมรวมมูลค่า 25,000 ล้านบาทในจำนวนนี้จะเป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด รวมมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาทจะเป็นการลงทุนโดยตรงของ ออริจิ้น

ขยับเกมส์รุก … บุกตลาดแนวราบ

สำหรับแผนธุรกิจในโครงการแนวราบหรือบ้านจัดสรรทั้งประเภทบ้านเดี่ยว และบ้านแฝด  รวมมูลค่า 2,000 ล้านบาท การบุกตลาดแนวราบของบริษัทฯเป็นการลงทุนต่อนื่องจากที่ได้เปิดโครงการแรกในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2560ได้พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว และบ้านแฝด ภายใต้แบรนด์“บริทาเนีย”( Britania) มูลค่าโครงการประมาณ 800 ล้านบาทซึ่งทำยอดขายได้ค่อนข้างดีโดยบริษัทฯตั้งเป้าที่จะเติบโตแบบ “มัลติพลาย” ด้วยการพัฒนาโครงการแนวราบ  ภายใน 5 ปี จนมียอดโครงการสะสมถึง 35,000 ล้านบาท หรือประมาณ 30-35 โครงการ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของที่ดินที่ได้มา สำหรับทำเลเป้าหมาย คือ ทำเลในโซนบางนา สมุทรปราการ และขยายครอบคลุมไปยังฝั่งตะวันออกในพื้นที่แถบ EEC ด้วย

 

ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงการขยายสู่ตลาดบ้านแนวราบของ ORI นั้นนอกจากจะ เข้ามาช่วยต่อยอดรายได้แล้วหากมองอีกมุมยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร ด้วยระยะเวลาการก่อสร้างที่รวดเร็วเพียง 4-6 เดือนและค่าใช้จ่ายในการขายที่ไม่สูงนักเพราะลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง ทำให้ ORI สามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิ ( Net Profit Margin) ของบ้านแนวราบที่ 18-20% ใกล้เคียงกับคอนโดมิเนียม

สร้างฐานธุรกิจ Recurring Income

การศึกษาธุรกิจใหม่ๆเพื่อสร้างรายได้ระยะยาว เป็นอีกหนึ่งแผนธุรกิจที่ ORI ให้ความสำคัญ นั่นคือ การขยายการลงทุนไปยัง ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า และธุรกิจอื่นๆ โดยเฉพาะด้านโลจิสติกส์และคลังสินค้า คาดเห็นความชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 และตามแผน ORI จะลงทุนโครงการประเภทมิกซ์ยูสโดยครอบคลุมธุรกิจโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ สำนักงานให้เช่า คอมมูนิตี้มอลล์ ในทำเลทีมีศักยภาพ

 

ดึงเชน “อินเตอร์คอน”รุกธุรกิจโรงแรม โดยธุรกิจโรงแรม ORI มีแผนการพัฒนาด้วยกัน 3 แห่ง ด้วยมูลค่าสินทรัพย์หลังการก่อสร้างที่ประมาณ 7,500 ล้านบาท ล่าสุดได้เซ็นสัญญานำแบรนด์และเชนของเครือโรงแรมอินเตอร์คอนดิเนนตัล (IHG) เข้ามาบริหารโรงแรม

โดยโรงแรมทั้ง 3 แห่ง สัญญา 15 ปี ประกอบไปด้วย 1).โรงแรม สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ เป็นโรงแรมขนาดห้องพักรวม 303 ห้อง มูลค่า 2,500 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 4/2562

 

2),โรงแรม สเตย์บริดจ์ สวีท ชลบุรี ศรีราชา ขนาด 400 ห้อง มูลค่า 2,800 ล้านบาทบาท ตั้งอยู่บริเวณถนนสุขุมวิท ตรงข้ามตึกคอม ศรีราชา คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 4/2563

 

 และ 3).โรงแรม ฮอลิเย์ อินน์แอนด์ สวีท ศรีราชา แหลมฉบัง ขนาด 347 ห้อง มูลค่า 2,200 ล้านบาทตั้งอยู่ในพื้นที่โครงการ Origin District คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 1/2563

 

“IHG เป็นหนึ่งในเครือโรงแรมชั้นนำของโลก ได้รับการยอมรับด้านการบริหารโรงแรมด้วยมาตรฐานสากล และมีแบรนด์โรงแรมคุณภาพหลากหลายแบรนด์อยู่ทั่วโลก การพัฒนาโรงแรม 3 แห่งแรกของเราในครั้งนี้จึงเลือกนำแบรนด์และเชนโรงแรมของ IHG จำนวน 2 แบรนด์มาบริหาร ซึ่งเรามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะได้ทำงานร่วมกับ IHG นับจากนี้” นายพีระพงศ์ กล่าว

 

ด้านนายราจิต สุขุมารัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ประจำภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (IHG) กล่าวว่า สเตย์บริดจ์ สวีท เป็นแบรนด์โรงแรมที่เปิดให้บริการมาแล้วมากกว่า 250 แห่งทั่วโลก ตกแต่งด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น สะดวกสบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น อุปกรณ์ครัวครบชุด           โซนทำงานส่วนตัว โซนเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เหมาะสำหรับแขกที่ต้องการเข้ามาพักระยะยาว เช่น กลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในพื้นที่นั้นๆ (Expat) หรือนักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ (Business Traveller)

 

สำหรับการพัฒนาโรงแรม สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อนั้น ORI ได้ร่วมมือกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ ซึ่งเป็นพันธมิตรที่สำคัญของบริษัทในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ล่าสุดได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุน ภายใต้ชื่อบริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด.  โดย ORI ถือหุ้น 51% และ โนมูระ 49% อย่างไรก็ตามกลุ่มบริษัทโนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ มีแผนการลงทุนในระยะกลาง-ยาว ตั้งแต่ปี 2559-2567(สิ้นสุด มี.ค.2568)  ด้วยการลงทุนในต่างประเทศคือภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ภายใต้งบลงทุน 3 แสนล้านเยนหรือประมาณ 9.06 หมื่นล้านบาท โดยได้ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 10% หรือประมาณ 9,000 ล้านบาท

 

ด้านนางจตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด บริษัทพัฒนาธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า จากข้อมูลของสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว พบว่า จำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทยมากที่สุด คือ ชาวญี่ปุ่น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 24% ขณะเดียวกันจากข้อมูลของปี 2555-2559 ยังพบว่า จำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ (Expat) มีจำนวนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 16% ต่อปี ทำเลทองหล่อถือเป็นทำเลสำคัญที่มีชาวต่างชาติเข้ามาทำงานและพักอาศัยเป็นจำนวนมาก มั่นใจว่าการพัฒนาโรงแรมในทำเลทองหล่อจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่พักอาศัย โดยเฉพาะของชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นในย่านนี้ได้

 

สำหรับเครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (IHG) มีเครือข่ายโรงแรมอยู่กว่า 5,300 แห่ง 7.85 แสนห้องพักในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบัน ดำเนินการบริหารโรงแรมในไทย 22 แห่ง ภายใต้ 5 แบรนด์ และมีที่รอเปิดให้บริการอีก 14 แห่ง โดยแบรนด์สเตย์บริดจ์ สวีท ถือเป็นแบรนด์ที่ 6 ในไทย