จับตา ! กลุ่มทุนจีนแห่(ร่วม)ลงทุนอสังหาฯไทยไม่หยุด ลุยลงทุนคอนโด ฯ โรงแรม บ้านจัดสรร ขณะที่ดีเวลลอปเปอร์ไทยเล็งร่วมทุนเพิ่มศักยภาพขยายฐานตลาด

 

ประเทศไทยเปิดกว้างต้อนรับนักลงทุนต่างชาติอยู่แล้วเราจึงเห็นนักลงทุน นักธุรกิจหรือว่าชาวต่างชาติเข้ามาลงทุน ทำงาน เปิดกิจการต่างๆ ในประเทศไทยค่อนข้างมากมายโดยเฉพาะคนจีนที่พวกเขาอาจจะมีปัญหาหรือไม่เป็นที่ต้องการในบางประเทศ เนื่องจากทัศนคติและความเชื่อแบบเดิมๆ แต่ที่ประเทศไทยพวกเขาไม่ได้เจอปัญหานั้น อีกทั้งการเดินทางที่สะดวกทั้งระหว่างประเทศและภายในประเทศไทยเอง การขยายตัวทางเศรษฐกิจและโครงการภาครัฐบาลต่างๆ ที่มีโครงการต่อเนื่อง รวมไปถึงเรื่องของความสะดวกสบายในชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่าครองชีพไม่สูงมากอีกทั้งมีสิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันที่พร้อมสมบูรณ์ ทำให้ชาวต่างชาติไม่เพียงแต่คนจีนนั้นสนใจจะเข้ามาทำงาน ลงทุน หรือใช้ชีวิตในประเทศไทย

 

ดังนั้น นักลงทุนจีนจึงสนใจจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพราะพวกเขาต้องการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบต่างๆ ขึ้นมาเพื่อรองรับคนจีนและคนในประเทศไทย

 

ต่อกระแสการไหลบ่ามาลงทุนในอสังหาฯไทยของกลุ่มทุนจีนนั้น นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า ส่วนตัวยังเชื่อว่ากลุ่มทุนจีนยังคงสนใจที่จะเข้ามาลงทุนอสังหาฯในประเทศไทย ซึ่งนอกจากลุ่มทุนที่ซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดฯแล้ว ยังพบว่าทุนจีนยังสนใจที่เข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการในลักษณะรวมทุนกับผู้ประกอบการอสังหาฯไทย

 

“ในปี 2559-60 เป็นปีที่กลุ่มทุนญี่ปุ่นขยายฐานการลงทุนมายังไทย แต่ปี 2561 ผมว่าจะเป็นปีที่กลุ่มทุนจีนมาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นหลังจากที่มาแล้วหลายรายในช่วงก่อนหน้า” นายพีระพงศ์ กล่าว พร้อมกับระบุว่า ปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างพูดคุยในรายละเอียดกับกลุ่มทุนจากจีนเพื่อร่วมลงทุนในโครงการอสังหาฯ

 

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสอดคล้องกับความเห็นของ นายสุรเชษฐ กองชีพ นักวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ระบุว่า ทุนจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมีมากขึ้นทุกปีๆและยังมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นต่อไปในอนาคตทั้งการเข้ามาลงทุนด้วยตนเอง การร่วมทุน หรือว่าเข้ามาซื้อกิจการ โครงการหรือส่วนหนึ่งของโครงการจากผู้ประกอบการไทยแต่อัตราการเพิ่มขึ้นในอนาคตนั้นต้องดูสถานการณ์หลายๆอย่างประกอบกันเช่นการเมือง เศรษฐกิจ การถือครองกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ อีกทั้งเรื่องของการโอนเงิน การนำเงินออกนอกประเทศของคนจีนเอง หรือการจำกัดการลงทุนนอกประเทศ ซึ่งเรื่องนี้อาจจะทำให้การเข้ามาของทุนจีนเพิ่มขึ้นแบบช้าๆ ไม่รวดเร็วมากนัก

 

สำหรับทุนจีนในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมาเริ่มมีสัญญานที่ชัดเจนมากขึ้นเพราะว่านักลงทุนจีนหรือบริษัทไทยบางแห่งเริ่มประกาศความชัดเจนแล้วว่าจะมีการร่วมมือกันในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์(ดูตารางประกอบ)เช่น บริษัท จงเทียน คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป จำกัดร่วมทุนกับบมจ.เจ.เอส.พี. พัฒนาโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่และโครงการเอนเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ทำเล บางเสร่ ชลบุรี มูลค่า 15,000 ล้านบาท  ,บริษัท BCEGร่วมทุนกับทางบมจ. คันทรี่กรุ๊ป ดีเวลลอปเม้นท์เพื่อก่อสร้างโครงการ Four Seasons Private Residence ในกรุงเทพฯมูลค่า 10,000 ล้านบาท ขณะที่ บริษัท เทียนเฉิน อินเตอร์เนชั่นแนล พร็อพเพอร์ตี้ (ไทยแลนด์) จำกัดผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม TC Green และโครงการ One9Five ย่านพระราม 9 มูลค่า 10,000 ล้านบาท และบริษัท ไฮดู กรุ๊ป จำกัดร่วมทุนกับบริษัท เบสท์ กรุ๊ป จำกัด พัฒนาเมืองส่งเสริมการค้าและศูนย์แสดงสินค้าระดับโลกที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดย่านสมุทรปราการ มูลค่า 100,000 ล้านบาท เป็นต้น

ยังนิยมลงทุนในคอนโดฯรองรับคนจีนด้วยกัน

 

นักลงทุนจีนที่เข้ามาในประเทศไทยยังคงให้ความสนใจหรือว่าเลือกลงทุนในโครงการคอนโดมิเนียมมากที่สุดเพราะว่าเป็นรูปแบบโครงการที่ชาวต่างชาติสามารถซื้อในชื่อของพวกเขาได้ อีกทั้งผู้ประกอบการจีนยังต้องการพัฒนาโครงการเพื่อรองรับคนจีนด้วยกันเองเพื่อเป็นเหมือนหลักประกันส่วนหนึ่งว่าขายได้หรือว่ามีรายได้จากคนจีนเข้ามาแน่นอน แต่ผู้ประกอบการจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยยังให้ความสนใจในการพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานในกรุงเทพมหานคร โรงแรมในเมืองท่องเที่ยวต่างๆ ของประเทศไทยที่เป็นที่นิยมของคนจีน

 

ทั้งนี้ ในปี 2561 ปีต่อไปน่าจะเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนจากประเทศจีนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นทั้งแบบการร่วมทุนและแบบการเข้ามาซื้อกิจการโดยรูปแบบของการร่วมทุนอาจจะมีไม่มากนักเพราะนักลงทุนจีนมักจะขอบริหารหรือว่าจัดการทุกอย่างเองแตกต่างจากนักลงทุนญี่ปุ่นที่เลือกที่จะลงแต่เงินทุนและให้บริษัทไทยเป็นฝ่ายบริหารจัดการทุกอย่าง ดังนั้น จึงอาจจะไม่ค่อยเห็นบริษัทจีนร่วมทุนกับบริษัทไทยมากเหมือนทางญี่ปุ่น แต่รูปแบบการเข้ามาซื้อกิจการ อาคาร โครงการ ที่ดิน โดยบริษัทจีนที่เข้ามาตั้งบริษัทย่อยหรือบริษัทสาขาในประเทศไทยนั้นจะมีมากกว่า ทำเลยอดนิยมยังคงเป็นทำเลในกรุงเทพมหานครสำหรับโครงการคอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน โรงแรม และโครงการโรงแรม คอนโดมิเนียมในเมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต เป็นต้น

 

อีกทั้งตอนนี้นักท่องเที่ยวจีนเริ่มกระจายออกไปในหลายจังหวัดที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยไปมากขึ้นแล้วแต่อาจจะมีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับจังหวัดยอดนิยมข้างต้น การลงทุนในอุตสาหกรรมเป็นการลงทุนอีกรูปแบบที่นักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในภาคตะวันออกซึ่งเห็นได้จากยอดการขอการส่งเสริมการลงทุนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องซึ่งเมื่อการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นก็ย่อมมีผลทำให้มีคนจีนเข้ามาทำงานมากขึ้นตามไปด้วยในอนาคตจึงอาจจะมีนักลงทุนเข้าไปพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยหรือพาณิชยกรรมเพื่อรองรับคนจีนก็ได้