เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2561 ที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 19 มีมติเห็นชอบการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในทุกจังหวัดประจำปี 2561 มาอยู่ในช่วง 308-330 บาท/วัน (เฉลี่ย 315.97 บาท/วัน) จากอัตรา 300-310 บาท/วันในปี 2560 (เฉลี่ย 305.44 บาท/วัน) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2561 เป็นต้นไป โดยการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในปีนี้เป็นการปรับขึ้นแบบไม่เท่ากันทั่วประเทศตามแต่ละพื้นที่โดยจัดกลุ่มจังหวัดแบ่งค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 7 ระดับ แตกต่างจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในปีก่อนที่แบ่งเป็น 4 ระดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเพิ่มตัวแปร เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI), ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) รวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (GPP) เข้ามาในสูตรการคำนวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ำแบบใหม่

สำหรับผลต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยร้อยละ 2.6 ในปี 2561  จะส่งผลกระทบทางตรงต่อต้นทุนของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น (Labor-intensive) ให้เพิ่มขึ้นราวร้อยละ 0.4 ของต้นทุนทั้งหมด ซึ่งอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นส่วนใหญ่เป็นธุรกิจในภาคบริการที่มักพึ่งพิงแรงงานไร้ฝีมือ (Unskilled labor) และจ่ายค่าจ้างโดยอ้างอิงกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นหลัก ซึ่งได้แก่ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจร้านอาหารและที่พักแรม รวมถึงธุรกิจผลิตสิ่งทอเครื่องนุ่งห่มและเฟอร์นิเจอร์ ตลอดจนภาคเกษตรกรรม ในขณะเดียวกัน ธุรกิจอื่นๆ ที่แต่เดิมจ่ายค่าจ้างในอัตราที่สูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำไม่มากหรือพึ่งพิงแรงงานกึ่งมีฝีมือ (Semi-skilled labors) เป็นหลัก ก็อาจจะได้รับผลกระทบทางอ้อมเนื่องจากจำต้องปรับเพิ่มค่าจ้างของแรงงานกึ่งมีฝีมือเพื่อรักษาระดับความต่างของค่าจ้างระหว่างแรงงานกึ่งมีฝีมือและแรงงานไร้ฝีมือไว้ท่ามกลางสภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัวขึ้นด้วย  ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของธุรกิจและอุตสาหกรรมในภาพรวมเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 0.3 ของต้นทุนทั้งหมด นอกจากนี้ ธุรกิจที่มีทางเลือกค่อนข้างจำกัดในการนำเทคโนโลยีและเครื่องจักรมาใช้แทนแรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจ SMEs จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มธุรกิจอื่นๆ โดยเปรียบเทียบ ทั้งนี้ หากภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถนำค่าจ้างแรงงานไปลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นเป็น 1.5 เท่า ก็น่าจะช่วยบรรเทาภาระต้นทุนบางส่วนของผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำได้

 

สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคนั้น รายได้ของแรงงานไม่มีฝีมือและแรงงานกึ่งมีฝีมือที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพบางส่วนของแรงงาน รวมถึงช่วยหนุนการใช้จ่ายของครัวเรือนให้เพิ่มขึ้นตามกำลังซื้อที่สูงขึ้น ส่งผลบวกต่อมูลค่าจีดีพีในประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการในส่วนแรงงานของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อประกอบกับต้นทุนการผลิตอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น ก็อาจทำให้ผู้ประกอบการบางส่วนตัดสินใจถ่ายโอนภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นผ่านทางด้านราคาสินค้าและบริการ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า จะทำให้ระดับราคาสินค้าและบริการของผู้บริโภคในปี 2561 เพิ่มขึ้นราวร้อยละ 0.06 เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ผลของการปรับค่าจ้างขั้นต่ำส่วนหนึ่งได้ถูกรวมเข้ามาในการประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2561 แล้ว) โดยต้นทุนการผลิต รวมถึงระดับราคาสินค้าและบริการของผู้บริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นจะเป็นแรงกดดันต่อมูลค่าจีดีพี

 

อย่างไรก็ตาม รายได้ของแรงงานที่เพิ่มขึ้นก็จะช่วยหนุนมูลค่าจีดีพีได้บางส่วน ประกอบกับภาครัฐมีมาตรการควบคุมราคาสินค้าภายในประเทศ อาทิ กระดาษชำระ ผงซักฟอก สบู่ แชมพู ไข่ไก่ ผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่ม ฯลฯ ซึ่งจะส่งผลให้การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำกระทบภาพรวมเศรษฐกิจไทยอย่างจำกัด ทั้งนี้ จากการประเมินผลกระทบต่อมูลค่าจีดีพีของไทยในปี 2561 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะส่งผลต่อมูลค่าจีดีพีอย่างไม่มีนัยสำคัญ กล่าวคือ ผลสุทธิของมูลค่าจีดีพีจะลดลงเล็กน้อยราวร้อยละ 0.02 เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2561 ไว้ที่ร้อยละ 4.0 และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยในปี 2561 ที่ร้อยละ 1.1 ดังเดิม