นับตั้งแต่อดีตเรามักเลือกที่จะลงทุนหรือถือครองทรัพย์สินที่มีอยู่อย่างจำกัด ไม่ว่าจะเป็นทองคำ น้ำมัน หรือที่ดิน เพราะด้วยปริมาณที่อยู่อย่างจำกัดนี้   จึงทำให้ทรัพย์สินดังกล่าวยิ่งมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลาและปริมาณความต้องการ เมื่อพฤติกรรมการบริโภคในทรัพย์สินแต่ละประเภทเกิดการเปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่างเช่น พลังงานทดแทนหรือพลังงานสะอาดที่กำลังเข้ามาทดแทนปริมาณความต้องการใช้งานของน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นต้น แต่เราจะเห็นได้ว่า อสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นปัจจัย 4 ของมนุษย์นั้น ยังคงมีความต้องการอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากราคาที่ดินและห้องชุดใจกลางเมืองที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดตราบใดที่ยังคงมีความต้องการที่จะถือครองทรัพย์สินเหล่านั้นอยู่ หรือแม้แต่กรุงเทพมหานครที่ที่ดินใจกลางเมืองมีราคาสูงขึ้นถึง 47 เท่า ในช่วงปี 2528 – 2558 (ข้อมูลจาก area.com) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณชิดลม-เพลินจิตที่ล่าสุดมีการซื้อ-ขายที่ดินกันที่ตารางวาละ 3.1 ล้านบาทแล้ว

อะไรที่ทำให้ราคาที่ดินในทำเลดังกล่าวมีราคาสูงมากขนาดนี้ และทำไมถึงยังมีคนกล้าซื้อ?

เมื่อพฤติกรรมของคนในแต่ละยุคเปลี่ยนไป นิยามของคำว่า Super Luxury ก็ย่อมมีความหมายที่แตกต่างกัน ปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่โอกาสเป็นเรื่องเสรี ทำให้ทุกคนมีสิทธิที่จะมีรายได้ที่สูงได้โดยไม่ใช่เรื่องยาก โดยที่เราให้คำจัดความคนกลุ่มนี้ว่าเป็นกลุ่ม New Rich ฉะนั้นเมื่อมีผู้ที่มีความมั่งคั่งในปริมาณที่มากขึ้น ทรัพย์สินที่มีอยู่อย่างจำกัดอย่างคอนโดมิเนียมในกลางเมือง ย่อมเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก ฉะนั้นคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury จะต้องอยู่ในทำเลที่ไม่ใช่ใครๆก็สามารถถือครองได้ ยกตัวอย่างเช่นกระเป๋า Birkin ที่มีราคาสูงถึงประมาณใบละสามล้านบาท ซึ่งลูกค้าไม่สามารถเดินเข้าไปใน Shop เพื่อซื้อได้ทันที แต่จะต้องมีประวัติการซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่องตามเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อที่เข้าคิวสั่งจองกระเป๋ารุ่นพิเศษนี้ เป็นต้น

คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯก็กำลังมีทิศทางไปในทางเดียวกัน เมื่อที่ดินใจกลางเมืองที่รายล้อมด้วยความเป็นที่สุดในทุกแง่มุมอย่างถนนหลังสวน-ถนนวิทยุ กำลังจะกลายเป็นทำเลที่หายากที่สุดในประเทศ เมื่อปริมาณที่ดินแบบ Freehold กำลังจะถูกครอบครองและพัฒนาจนหมด

หากจะลองไล่ดูความสำคัญของถนนแต่ละเส้นที่กล่าวมา

เริ่มจากถนนหลังสวน ที่มีห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลชิดลมอยู่ที่หัวถนน ซึ่งเป็นห้างที่มีประวัติอันยาวนานมากตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 และเป็นห้างสรรพสินค้าที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจนทำให้สามารถคืนทุนได้เวลาเพียง 3 ปีเท่านั้น และโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2470 อีกทั้งยังเป็นโรงเรียนที่พระบาทสมเด็จประเมนทรมหาอานันทมหิดลและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเข้าศึกษาเป็นนักเรียนอนุบาลอีกด้วย นอกจากประวัติศาสตร์ที่สำคัญอันยาวนานแล้ว ยังมีสถานที่สำคัญทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอีกด้วย อาทิเช่น ร้าน Starbucks ที่ไม่ใช่เพียงแค่ร้านกาแฟธรรมดาเท่านั้น แต่เป็นร้านกาแฟที่เนรมิตมาจากบ้านเก่าอายุกว่า 80 ปี โดยยังคงความสวยงามของโครงสร้างภายนอกไว้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งทุกๆ 1 แก้วของกาแฟที่ซื้อทีนี้ ยังได้ร่วมสมบททุนแก้วละ 10 บาทเพื่อการกุศลอีกด้วย เพราะที่นี้เป็นร้านค้าชุมชนของ Starbucks แห่งแรกในประเทศไทย และยังมีโรงแรมและอาคารสำนักงานชื่อดังอย่าง CIMB สำนักงานใหญ่และ Hotel Muse รวมถึงสำนักงานอีกมากมายของกลุ่ม SME อีกด้วย และส่วนที่สำคัญที่สุดที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือบริเวณท้ายถนนที่อยู่ติดกับสวนลุมพินีอันเป็นที่มาของชื่อถนนหลังสวน เพราะเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่กว่า 360 ไร่ ที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 หรือปี พ.ศ. 2468 และถนนอีกเส้นที่มีความสำคัญมากสำหรับกรุงเทพฯก็คือถนนวิทยุซึ่งเป็นถนนที่ไม่เพียงแต่เป็นถนนที่ร่มรื่นมากเท่านั้น แต่ยังเป็นถนนที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอีกด้วย เริ่มต้นจากหัวถนนกับห้างสรรพสินค้า Central Embassy ซึ่งเคยสร้างประวัติศาสตร์การซื้อ-ขายที่ดินที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประเทศไทย ที่ราคาตารางวาละ 2 ล้านบาท ที่มีขนาดใหญ่ถึง 25 ไร่ ซึ่งมีมูลค่ารวมสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท ถนนวิทยุยังเป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชฑูตอเมริกา, เนเธอร์แลนด์, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, และเวียดนาม รวมถึงสมาคมฝรั่งเศส อีกทั้งยังเต็มไปด้วยอาคารสำนักงานชื่อดังอย่างที่มีสำนักงานของบริษัทระดับโลก อย่างอาคารธนาคารกรุงศรี, Park Venture, Athenee Tower, All Season Place, GPF Witthayu Tower, และ Sindhorn Building เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่มีชาวต่างชาติเข้ามาทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงที่ส่วนมากแล้วจะพักอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงอย่างซอยต้นสนและหลังสวน

ในอนาคตบริเวณนี้ยังมีโครงการ Mega Project อีกถึง 2 โครงการ คือ One Bangkok บนที่ดินขนาด 104 ไร่ที่บริเวณถนนวิทยุ-พระราม 4 และ Langsuan Village บนที่ดินขนาด 56 ไร่บนถนนหลังสวน-ซอยต้นสนที่เป็นที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งทั้งสอง Mega Project นี้จะเป็นโครงการแบบ Mix Used ที่ประกอบไปด้วย อาคารสำนักงาน โรงแรม Retail และพื้นที่สีเขียว ซึ่งแน่นอนว่าจะเข้ามาเพิ่มมูลค่าให้ที่ดินบริเวณมีมูลค่าสูงขึ้นไปมากกว่านี้อีก

แม้ว่าจะเป็นบริเวณที่ทรงคุณค่าในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ราคา เศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความร่มรื่นสวยงาม และประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่ที่ดินส่วนมากในบริเวณนี้เป็นที่ดินแบบ Leasehold จึงทำให้โครงการคอนโดมิเนียมแบบ Freehold ในบริเวณนี้มีราคาสูงมาก อย่างบริเวณหัวถนนวิทยุที่มีราคาสูงถึงตารางเมตรละ 580,000 – 800,000 บาท เป็นต้น

ครงการ Muniq Langsuan โดย Major Development จึงเป็นอีกหนึ่งโครงการคอนโดมิเนียม High rise 28 ชั้น ที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Freehold บนที่ดิน 1-1-66.5 ไร่ ที่มีราคาเฉลี่ยประมาณ 310,000 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้น แต่ยังมีความ Private สูงด้วยจำนวนห้องชุดพักอาศัยเพียง 166 ยูนิตเท่านั้น  และยังตั้งอยู่ท่ามกลางที่ดินแบบ Leasehold และรายล้อมด้วยอาคารสำนักงานชั้นนำมากมาย ติดกับ Mega Project Langsuan Village และห่างจากสวนลุมพินีเพียง 100 เมตรเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันซอยต้นสนอันที่เป็นที่ตั้งของโครงการ Muniq Langsuan กำลังทำการปรับปรุงถนนในซอยต้นสนให้สามารถทะลุออกสู่ถนนสารสินได้ด้วย ซอยต้นสนเองนั้นแม้จะอยู่ท่ามกลางแหล่งเศรษฐกิจแต่กลับเป็นซอยที่มีความร่มรื่นและเงียบสงบมาก และสามารถเดินทางสู่ถนนสำคัญเส้นต่างๆของกรุงเทพฯได้อย่างสะดวก และในอนาคต หากจะมีโครงการ Freehold บนสุดยอดทำเลแบบนี้ขึ้นมาอีก คงจะมีราคาที่สูงมากจนน่าตกใจ นี้จึงเหมือนเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่จะได้ถือครองกรรมสิทธิ์ที่พักอาศัยอันทรงคุณค่ากลางใจทำเลที่ดีที่สุดในประเทศไทย

ห้องชุดมีความหรูหราด้วยเพดานห้องสูงถึง 3 เมตร และที่จอดรถมากถึง 111% ในแบบ Automatic Parking โดยห้องชุดจะมีขนาดตั้งแต่ 1 Bedroom 50 ตารางเมตร ไปจนถึง Penthouse ขนาด 254 ตารางเมตร

โครงการ Muniq Langsuan ราคาขายเริ่มต้นเพียง 12.9 ล้านบาท หรือราคาต่อตารางเมตรเริ่มต้นเพียง 257,200 บาทเท่านั้น

Pre-sale 10-11 ก.พ. 2561

สนใจลงทะเบียนรับส่วนลดได้ที่ https://goo.gl/aZPMpq

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 1266