มิตซูบิชิ เอลเเวเตอร์ฯมั่นใจEEC ความต้องการใช้ลิฟต์-บันไดเลื่อนจากการลงทุนทุกภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น พร้อมเปิดศูนย์บริการเพิ่ม 6แห่ง ทั้งรุกเจาะตลาดอสังหาฯแนวราบ-สูง ชูจุดขายคุณภาพดี-ปลอดภัย-บริการหลังการขาย ท่ามกลางสมรภูมิเดือด

 

 

มร. มุเนอิสะ โอกาโมโตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้แทนจำหน่าย ติดตั้งและให้บริการหลังการขายผลิตภัณฑ์ลิฟต์และบันไดเลื่อนมิตซูบิชิ เปิดเผยว่า จากการที่ภาครัฐให้การสนับสนุนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ทำให้ความต้องการใช้ลิฟต์และบันไดเลื่อนเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากมั่นใจว่าจะเกิดการลงทุนในธุรกิจประเภทต่างๆ อาทิ โรงแรม, ที่พักอาศัย, ศูนย์การค้า, อาคารสำนักงาน และโรงงานต่างๆในพื้นที่นอกจากนี้สนามบินอู่ตะเภาก็มีการปรับปรุงให้สามารถรองรับนักธุรกิจต่างๆ   ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจในพื้นที่มีความคึกคัก เม็ดเงินลงทุนเดินสะพัดอย่างมหาศาล  ทั้งนี้มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ ฯเตรียมแผนรองด้วยการเปิดศูนย์บริการในจังหวัดระยอง เพื่อรองรับการให้บริการในเขตพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ให้มีความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

 

ปัจจุบัน มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ฯ มีศูนย์บริการหลังการขายจำนวน 22 แห่ง ทั่วประเทศ ซึ่งในปี 2561 นี้ได้มีการเพิ่มศักยภาพในการให้บริการด้วยการเปิดศูนย์บริการอีกจำนวน 6 แห่ง ทั้งในเขตกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ได้แก่ ศูนย์บริการอุดมสุข, ศูนย์บริการรัชดาภิเษก, ศูนย์บริการนนทบุรี, ศูนย์บริการนครปฐม, ศูนย์บริการระยอง และศูนย์บริการโคราช รวมทั้งหมดเป็น 28 แห่ง  เพื่อขยายการบริการให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นช่วยลดระยะทางและเวลาในการเดินทางของทีมวิศวกรและช่างผู้เชี่ยวชาญ  เมื่อได้รับเเจ้งเหตุ ลิฟต์,บันไดเลื่อน หรือทางลาดเลื่อน เกิดการขัดข้อง จะสามารถเดินทางไปถึงจุดหมาย เฉลี่ยแล้ว ภายใน 1ชั่วโมงเท่านั้น  โดยมีศักยภาพเพียงพอที่จะดูแล ลิฟต์, บันไดเลื่อน และทางลาดเลื่อน ซึ่งอยู่ในสัญญาบริการกว่า 15,000 เครื่อง ทั้งนี้ คาดว่า ภายในปี 2563 นี้ จะมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นถึง 20,000 เครื่องอย่างแน่นอน

 

 

ด้านนายสันติพงษ์ บูรณกฤตยกรณ์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท มิตซูบิชิเอลเลเวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในช่วงปลายปี 2560 ตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนขยายตัวเพิ่มสูงมากขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เร่งขยายโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นย่าน นนทบุรี สมุทรปราการ มีนบุรี กรุงธนบุรี  รวมไปถึงแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ  อาทิ พัทยา, เชียงใหม่ และ ภูเก็ต เป็นต้น  โดยมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าไฮ-เอนด์ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ ลิฟต์และ บันไดเลื่อน “มิตซูบิชิ” เติบโตตามไปด้วย เพราะสามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าไฮ-เอ็นด์ ที่ให้ความเชื่อมั่นในคุณภาพได้เป็นอย่างดี

 

นอกจากนี้ ยังมีความมั่นใจว่าตลาดที่อยู่อาศัยและสำนักงานรูปแบบมิกซ์ยูส (mixed-use) จะยังคงมีการขยายตัวมากขึ้น โดยได้รับอานิสงส์จากการขยายระบบคมนาคมขนส่งในกรุงเทพฯ รวมไปถึงภาคของสาธารณสุข (health sector) ที่สถานพยาบาลในเครือต่างๆที่มีการปรับปรุงและขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ อีกทั้งประเทศไทยได้รับการยอมรับและมีชื่อเสียงในด้านสาธารณสุข จนกลายเป็นศูนย์กลางแห่งสถานพยาบาลและการรักษาโรคในภูมิภาค  จากแนวโน้มที่ตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

ในปีนี้ มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ วางแผนรุกตลาดที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูง โดยชูจุดแข็งด้านการบริการที่มีความรวดเร็ว ฉับไว มีอัตราการแจ้งซ่อมต่ำ ให้บริการด้วยช่างคุณภาพ มีความรู้ที่ได้รับการฝึกอบรมจากศูนย์ฝึกอบรมนานกว่า 1 ปีก่อนออกปฏิบัติงานจริง และยังคงยึดนโยบายในการมุ่งมั่นพัฒนาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จึงทำให้ได้รับความไว้วางใจสูงจากลูกค้าระดับชั้นนำเป็นจำนวนมาก  สำหรับการแข่งขันในตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนนั้นมีการแข่งขันค่อนข้างสูง สืบเนื่องมากจากการที่ภาครัฐมีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งรายใหญ่และรายย่อยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง   โดยแบรนด์ในตลาดส่วนใหญ่แข่งขันด้านราคา ในขณะที่มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ ยึดมั่นด้านคุณภาพ ความปลอดภัยและการบริการหลังการขายเป็นหลัก

 

สำหรับภาพรวมตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนปี2560 ที่ผ่านมา มีจำนวนความต้องการประมาณ 5,200  เครื่องมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ  8,000  ล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมา มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ สามารถจำหน่ายลิฟต์และบันไดเลื่อนได้มากกว่า 1,600 เครื่อง เทียบแล้วมีส่วนแบ่งตลาดสูงกว่า 30%  ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2561 นี้ ตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อน จะยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง ระหว่าง 5-7 %  และในส่วนของที่อยู่อาศัย ผู้บริโภคยังคงคำนึงถึงคุณภาพผลิตภัณฑ์และการให้บริการหลังการขายเป็นอันดับแรก