เพซฯเผยหลังปิดดีล ขายสินทรัพย์”มหานคร”มูลค่า 14,000 ล้ านบาทให้ “คิง เพาเวอร์”พร้ อมเดินหน้าลดหนี้ให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสม เร่งก่อสร้าง 4 โครงการในมือ มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท ให้แล้วเสร็จเตรียมทยอยส่งมอบปี 61-62  ประกาศขยายสาขาดีน แอนด์ เดลูก้า ทั่วโลกด้วยคอนเซ็ปต์คาเฟ่แบบใหม่ ตั้งเป้ากำไรกระแสเงินสดภายในปี  61

 


นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PACE
เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561  ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ดำเนินการขายสินทรัพย์บางส่วนในโครงการ”มหานคร”ให้กับ บริษัท คิง เพาเวอร์ มหานคร จำกัด คิดเป็นมูลค่าราว 14,000 ล้ านบาท ตามมติของคณะกรรมการบริษัทที่อนุมัติเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2561  ที่ผ่านมา โดยแผนการจำหน่ายสินทรัพย์ในครั้งนี้เป็นไปตามแผนธุรกิจที่บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าไว้ จากเดิมที่จะนำโครงการมหานครเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งการทำธุรกรรมในครั้งนี้ และช่วงเวลานี้ ทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้ได้ทันที

 


โดยบริษัทฯ จะนำกระแสเงินสดที่ได้จากธุรกรรมในครั้งนี้ รวมกับกระแสเงินสดจากการขายหุ้น เพิ่มทุนที่สำเร็จเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2561 มูลค่า 3,894 ล้ านบาท มาเพื่อลดหนี้ โดยจะมีผลทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแรงขึ้น  นอกจากนี้ ยังมีสภาพคล่องที่จะนำมาต่อยอดพัฒนาธุรกิจที่มีอยู่ให้ สามารถเติบโตได้อย่างมีประสิทธิ ภาพยั่งยืนและมั่นคงในระยะยาวต่อไป

 

นายสรพจน์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้คณะกรรมการบริษัทยังได้อนุมัติให้เพซฯเข้าซื้อหุ้นคืนจาก บริษัท อพอลโล เอเชีย สปริ้นท์ โฮลดิ้ง คอมปานี ลิมิเต็ด (อพอลโล) และโกลด์แมน แซคส์ อินเวสเมนท์ส โฮลดิ้งส์ (เอเชีย) ลิมิเต็ด (โกลด์แมน) ที่ถืออยู่ใน PP1 และ PP3 จำนวน  49% และ 48.7% ตามลำดับ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งหมด 10,000  ล้านบาท (320 ล้านเหรียญสหรัฐฯ)  ซึ่งทำให้เพซฯหมดภาระผูกพันต่อกันกับอพอลโลฯและ โกลด์แมนฯ

 

ทั้งนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะนำกระแสเงินสดส่วนหนึ่งที่ได้จากการขายสินทรัพย์บางส่วนในโครงการมหานครมาใช้ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายของบริษัทอีก 4 โครงการ มูลค่าโครงการทั้งหมดรวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยสองโครงการแรกมีการทยอยโอนกร รมสิทธิ์แล้ว สามารถรับรู้รายได้ภายในปี 2561   ได้แก่ 1) เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก มียอดแบ็คล็อค 3,280 ล้านบาท และห้องชุดที่รอขายอีกมูลค่าประ มาณ 4,281 ล้านบาท  2) โครงการม หาสมุทร วิลล่า มียอดแบ็คล็อก 816 ล้านบาท และมีวิลล่ารอขายมูลค่าประมาณ 3 ,088 ล้านบาท และ 3) โครงการนิมิต หลังสวน มียอดขายแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นยอดแบ็คล็อก คิดเป็นมูลค่า 6,709 ล้านบาท และห้องชุดรอขายมูลค่าประมาณ 1, 291 ล้านบาท และ 4) โครงการ วินด์เชลล์ นราธิวาส  มียอดแบ็คล็อก 792 ล้ านบาท และมีห้องชุดรอขายอีกมูลค่าประมาณ 2,208 ล้านบาท โดยทั้งโครงการนิมิต หลังสวน และ โครงการวินด์เชลล์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถโอนและรับรู้รายได้ภายในปี  2562  

 

สำหรับโครงการมหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน บริษัทฯ มีแผนที่จะหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อร่วมลงทุนและปรับรูปแบบ พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ให้กับโครงการ ด้วยการเพิ่มจำนวนห้องพักเพื่อทำเป็นโรงแรมเพื่อสุขภาพแบบครบวงจรระดับไฮเอนด์ในคลับเฮ้าส์ (Health & Wellness) โดยปัจจุบัน โครงการมหาสมุทร คันทรี่ คลับ มีสมาชิกกว่า 200 สมาชิก

 

ขณะที่ในส่วนของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแบรนด์ “ดีน แอนด์ เดลูก้า” เพซฯจะนำกระแสเงินสดอีกส่วนหนึ่ง มาใช้ลงทุนขยายสาขาในประเทศสหรัฐอเมริกา ในคอนเซ็ปต์ใหม่ภายใต้ชื่อ  DEAN & DELUCA xp  ส่วนสาขาในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น  เน้นขยายในรูปแบบคาเฟ่ โดยทั้งสองคอนเซ็ปต์นี้เป็นการลงทุนในรูปแบบร้านขนาดเล็ก ที่เน้นการลงทุนน้อยแต่ได้ประสิทธิผลมากขึ้น และเป็นรูปแบบที่ถูกออกแบบไว้ให้พร้อมขยายได้อย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเดียวกันหากมีดีมานด์ โดยคอนเซ็ปต์ DEAN & DELUCA xp จะเริ่มที่มหานครนิวยอร์คเป็นแห่งแรก

 

นอกเหนือจากนั้น ยังเน้นการขายสิทธิบัตรหรือแฟรนไชส์ ให้กับผู้ประกอบการในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันมีสาขาที่เป็นแฟรนไ ชส์ จำนวน 30 สาขา ใน 9 ประเทศ  โดยเพซฯเป็นเจ้าของกิจการในสหรัฐอเมริกา จำนวน 10 สาขา ในประเทศไทยจำนวน 11 สาขา และถือหุ้นร้อยละ 50 ในดีน แอนด์ เดลูก้าแบบคาเฟ่ที่ประเทศญี่ปุ่นจำนวน 17 สาขา ซึ่งในปี 2560 ดีน แอนด์ เดลูก้า สามารถทำรายได้ที่  3,142 ล้านบาท และตั้งเป้าที่จะมีกำไรจากกระแสเงินสดภายในปี 2561