กานดาฯปรับแผนธุกิจนำที่ดินศักยภาพพัฒนาโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ หวังสร้่างรายได้ระยะยาวนำร่อง 4 ทำเล มูลค่าการลงทุน 1,000 ล้านบาท พร้อมเปิดให้บริการอีก 2 ปี แย้มปี’61 เตรียมผุด 10โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 6,700 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายรวมแตะ 2,700 ล้านบาท คาดภายใน 5 ปี รายได้จากธุรกิจให้เช่าแชร์ส่วนแบ่ง20-25%

 

 

นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่ปัจจุบันผู้ประกอบการอสังหาฯรายใหญ่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง และมีความแข็งแกร่งทั้งด้านการเงินและการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากอดีตที่ผู้ประกอบการจะถูกจำกัดเรื่องการก่อสร้าง แต่ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีพรีคาสต์มาใช้ทำให้การก่อสร้างมีความรวดเร็ว  ส่วนเรื่องการที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ ให้ความสำคัญในการนำพร็อพเพอร์ตี้ เทคโนโลยี (พร็อพเทค)มาใช้กันมากขึ้นนั้น ตนมองว่าในธุรกิจอสังหาฯยังไม่มีความชัดเจนมากนัก และยังไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้ตลาดถูกผลักดันให้เติบโตไปอย่างรวดเร็ว เพราะด้วยลักษณะของการพัฒนาบ้านจัดสรร หรืออาคารชุด นั้นไม่ต้องการให้มีการปรับหรือเปลี่ยนมากนัก  ซึ่งในปัจจุบันและอนาคตพร็อพเทค นั้นแค่มาช่วยในเรื่องของการตลาด แต่ไม่ช่วยให้ยอดขายพุ่งมากนัก ในขณะเดียวกันพร็อพเทคจะช่วยในการขายบ้านมือสอง ด้วยการค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น

 

อย่างไรก็ตามในส่วนของผู้ประกอบการรายกลาง-เล็ก ก็ต้องมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นนิชมาร์เก็ต คือพัฒนาสินค้าและทำเลที่ตนเองมีความชำนาญ รวมไปถึงต้องมีความแข็งแกร่งเสมอในทุกสถานการณ์ ไม่ขยายตัวจนเกินไป สัดส่วนหนี้สินต่อทุนต้องไม่มากจนเกินไป และต้องพึ่งพาตนเองให้ได้

 

นายอิสระ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมากานดาฯก็ยึดหลักการดำเนินการดังกล่าวข้างต้นอยู่แล้ว จึงทำให้สามารถฝันฝ่าวิกฤตมาได้ และล่าสุดได้ปรับแผนการดำเนินงาน ด้วยการนำที่ดินสะสมที่มีศักยภาพและมีความเหมาะสม มาพัฒนาโครงการเพื่อสร้างรายได้ระยะยาวให้บริษัทฯ และกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน ทั้งนี้ในเบื้องต้นได้พิจารณานำที่ดิน 4 แปลงมาพัฒนานำร่องรูปแบบดังกล่าวก่อน  ได้แก่  1.ที่ดินพื้นที่เกือบ 5 ไร่ บริเวณฝั่งตรงข้างแม็คโคร ภูเก็ต ห่างจากห้งสรรพสินค้าเซ็นทรัล ภูเก็ต เพียง 400 เมตร ซึ่งเดิมมีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม ซึ่งผ่านการอนุมัติการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจากที่ดินแปลงดังกล่าวมีศักยภาพมากจึงต้องการเก็บไว้ และมีแผนพัฒนาเป็นโครวการมิกซ์ยูส สูง 8 ชั้น ประกอบด้วย โรงแรมระดับ 3 ดาว ,เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ รวมประมาณ 200 ยูนิต โดยโรงแรมราคาเช่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 บาท/คืน และสำนักงานให้เช่าแทน  อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโครงการจะต้องรอความชัดเจนของกลุ่มเซ็นทรัลว่าเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้หรือไม่ โดยเฉพาะในส่วนของการพัฒนาโรงแรม รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการ หากมีการปรับแผนได้เร็ว โครงการของบริษัทฯก็พร้อมที่จะพัฒนาได้ทันทีเช่นกัน

 

2.ที่ดินใกล้สี่แยกถลาง ภูเก็ต ซึ่งเหลือการพัฒนาอีก 20 ไร่ จากทั้งหมด 40 ไร่ ซึ่งได้แบ่งพัฒนาเป็น โครงการ “ไอลีฟ ไพร์ม ถลาง” แล้วจำนวน 20 ไร่  ซึ่งบริษัทฯมีแผนจะพัฒนาเป็นพูลวิลล่า ขนาด 3-4 ห้องนอน เพื่อปล่อยเช่าราคาประมาณ 70,000-80,000 บาท/เดือน  หรืออาจจะพัฒนาเป็นโรงแรม ราคา 1,200 บาท/คืนขึ้นไปหรือเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ หรืออาจจะพัฒนาเป็นมิกซ์ยูส รวมทั้ง 3 เซกเมนต์ไว้ด้วยกัน 

 

3.ที่ดินย่านบางกรวย พื้นที่ 1 ไร่เศษ ที่เดิมมีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดฯ  แต่การการสำรวจพื้นที่พบว่าหากนำมาพัฒนาในรูปแบบเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ราคาเช่า 7,000 บาท/เดือนขึ้นไป หรือออฟฟิศให้เช่า  จำนวนประมาณ 200 ยูนิต เพราะที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่ใกล้โรงพยาบาลและสถาบันการศึกษา รวมไปถึงหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจอีกมาก 

 

4.ที่ดินจำนวน 3 ไร่เศษ ทำเลถนนกัลปพฤกษ์ (ซอยกำนันแม้น)ตรงข้ามโฮมโปร ราชพฤกษ์ เดิมบริษัทมีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม และได้ปรับแผนจะพัฒนาเป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และออฟฟิศให้เช่าเช่นกัน

 

ขณะนี้ที่ดินทั้ง 4 แปลงอยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูลและความเป็นไปได้ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ภายใน 2 ปีข้างหน้านี้ โดยจะใช้เม็ดเงินในการลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท 

 

นอกจากนี้หากที่ดินแปลงไหนมีศักยภาพ  บริษัทก็จะแบ่งนำมาพัฒนาในเชิงพาณิชย์บางส่วนด้วย เช่นอาคารพาณิชย์ หรือทาวน์เฮาส์ให้เช่า เป็นต้น เพื่อรองรับดีมานด์ แต่คงไม่พัฒนามากจนเกินไป

 

 

นายอิสระ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนการพัฒนาโครงการเพื่อการขายของบริษัทในปีนี้นั้นจะเปิดตัวโครงการใหม่แบบก้าวกระโดด  โดยจะมี 2-3 โครงการที่จะเปิดตัวในปี 2560 ที่ผ่านมา เลื่อนมาเปิดตัวในปีนี้ รวมเป็น  10 โครงการใหม่ออกสู่ตลาด รวมมูลค่าสูงกว่า  6,700 ล้านบาท เพิ่มกว่า 100% จากปีที่ผ่านมีการเปิดตัวเพียง  5 โครงการ  ซึ่งโครงการใหม่ในปีนี้จะทยอยเปิดตัวในไตรมาสแรก 3 โครงการ คือ 1.โครงการ ไอลีฟทาวน์ รังสิต คลอง 3 พื้นที่ 16 ไร่ เป็นทาวน์โฮม ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 181 ยูนิต มูลค่าโครงการ  400 ล้านบาทเศษ

 

2.โครงการ ไอลีฟ ทาวน์ ประชาอุทิศ 90 พื้นที่ประมาณ 27 ไร่ เป็นทาวน์โฮม จำนวน 298 ยูนิต ราคา 1.89 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท และ 3.โครงการ ไอลีฟ ไพร์ม ถลาง เฟส 1 พื้นที่ 20 ไร่ เป็นทาวน์โฮม จำนวน 193 ยูนิตราคาเริ่มต้น 2.19 ล้านบาท มูลค่าโครงการ  477 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50 ยูนิตหรือประมาณ 25%

 

ส่วนไตรมาส 2 จะเปิดอีก 3 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการไอลีฟ ทาวน์ ราชพฤกษ์ วงแหวน ตั้งอยู่บนพื้นที่ 40 ไร่เป็นทาวน์โฮม จำนวน 439 ยูนิต ราคา 1.89 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 961 ล้านบาท 2.โครงการไอลีฟ พาร์ค พระราม 2 กม.14 พื้นที่ประมาณ 50 กว่าไร่ เป็นทาวน์โฮม ราคา2 ล้านบาทขึ้นไป และบ้านเดี่ยว ราคา 4 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 395 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท และ 3.โครงการไอลีฟ ทาวน์ พระราม 2 กม.18 พื้นที่ 20 กว่าไร่ เป็นทาวน์โฮม จำนวน201 ยูนิต ราคา 1.99 ล้านบาทขึ้นไป มูลค่าโครงการ 450ล้านบาท

 

สำหรับ ไตรมาสที่ 3 จะเปิดตัว 3 โครงการในพื้นที่ใกล้กัน บริเวณถนนพุทธสาคร จ.สมุทรสาคร ประกอบด้วย 1.โครงการไอลีฟ บิส  พื้นที่ประมาณ 4.5 ไร่ เป็นอาคารพาณิชย์  จำนวน 50 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่  4 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 200ล้านบาท  2.โครงการไอลีฟ พาร์ค  พื้นที่ประมาณ 30 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยว ราคา 3.7 ล้านบาทขึ้นไปและบ้านแฝด ราคา2.9 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 137 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท  และ 3.โครงการไอลีฟ ทาวน์  พื้นที่ประมาณ 50 ไร่ เป็นทาวน์โฮม จำนวน 490 ยูนิต ราคา 1.89 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 992 ล้านบาท

 

และไตรมาส 4 จะเปิด 1 โครงการคือ ไอลีฟ ทาวน์ รังสิต คลอง 4 พื้นที่ 41 ไร่ เป็นทาวน์โฮม จำนวน 460 ยูนิต ราคา1.89 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท

 

 

“การเปิดตัวโครงการใหม่ในจำนวนที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ เนื่องมาจากการเลื่อนเปิดโครงการในปี 2560 ที่ผ่านมา จากปัญหาการชะลอตัวของตลาด ทำให้ในปีนี้มีการเปิดโครงการใหม่จำนวนมาก โดยรูปแบบหลักๆจะเป็น ทาวน์โฮม และ บ้านเดี่ยว เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่าง ราคาเริ่มต้นที่ 1.7- 4 ล้านบาท ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าที่อยู่อาศัยเป็นครอบครัวใหญ่ หรืออยู่อาศัยร่วมกันถึง 3 เจนเนอเรชั่น เนื่องจากเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ และมีอัตราการขยายตัวสูงโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อไม่เกิน 3 ล้านบาท แต่ต้องการที่อยู่อาศัยที่สามารถรองรับครอบครัวใหญ่ได้”นายอิสระ กล่าว

 

ทั้งนี้จากการจัดเก็บข้อมูลในงานมหกรรมบ้านและคอนโดในครั้งที่ผ่านๆมา พบว่า ฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุดในตลาดและมีอัตราการขยายตัวสูงคือ กลุ่มระดับกลาง-ล่าง ที่ต้องการที่อยู่อาศัยระดับราคา 2-3 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับราคา 2 ล้านบาท ซึ่งมีกว่า 60% ของตลาดรวม และกลุ่มนี้มีกำลังซื้อเหมาะกับที่อยู่อาศัยประเภททาวน์โฮมหรือทาวน์เฮาส์ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อจำกัด แต่ต้องการพื้นที่อยู่อาศัยค่อนข้างมาก เพื่อรองรับการอยู่อาศัยของครอบครัวใหญ่ที่ร่วมกัน 2หรือ 3 เจนเนอเรชั่น

 

อย่างไรก็ตามในปี2561 นี้ บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่  2,700 ล้านบาท เติบโต 15% เมื่อเทียบกับยอดขายในปีที่ผ่านมามียอดขายที่ 2,200 ล้านบาท และมียอดโอนในปีนี้ที่ 2,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,700 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น  15% โดยช่วงไตรมาส 1 บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้แล้วประมาณ 800 ล้านบาท ส่วนธุรกิจที่พัฒนาเพื่อสร้างรายได้ระยะยาว คาดว่าภายในระยะเวลา 5 ปี จะมีรายได้เข้ามาประมาณ 20-25%