แอล.พี.เอ็น. แจงรายได้ Q1/2561 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.09 หรือเพิ่มขึ้น 26.87 ล้านบาทเป็น จำนวน 2,499.53 ล้านบาท ลุ้นช่วง 9 เดือนที่เหลือโครงการที่จะแล้วเสร็จพร้อมส่งมอบอีก 11 โครงการมูลค่ารวมประมาณ 10,520 ล้านบาท และมีแผนเปิดตัวเพิ่มอีก 12 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 17,400 ล้านบาท

 

บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือ LPN ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงผลการดำเนินงาน งบการเงินของบริษัทและบริษัทย่อยไตรมาสที่ 1/2561 ดังนี้ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จ ากัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ได้มีการดำเนินการแยกเป็น 2 กลุ่มธุรกิจ เป้าหมาย เพื่อ DIVERSITY และกระจายฐานการพัฒนาให้ครบวงจร ได้แก่

 

1.กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบโครงการอาคารชุดพักอาศัยและในรูปแบบอื่นๆนอกเหนือจากโครงการอาคารชุดพักอาศัยรวมถึงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการบ้านพักอาศัย โดยใช้กลยุทธ์การตลาดในการสร้างความแตกต่างทั้งทางด้านผลิตภัณฑ์และการบริการ มีการตั้งเป้าหมายยอดขายและรายได้จากการขาย ในปี 2561 เติบโตจากปี 2560 ร้อยละ 12 และร้อยละ 38 ตามลำดับ

 

2. กลุ่มธุรกิจบริการทางด้านอสังหาริมทรัพย์ บริษัทได้กำหนดนโยบายการบริการหลังการขายเพื่อดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่องในทุกโครงการ ได้มีการจัดตั้งกลุ่มธุรกิจให้บริการ 4 บริษัท ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้บริการด้านต่างๆ ได้แก่ 1) งานบริหารชุมชน 2) งานบริหารทรัพย์สินเพื่อเช่าประเภทที่พักอาศัย 3) งานบริหารพื้นที่จอดรถยนต์4) งานบริการบริหารโครงการ และงานก่อสร้าง 5) งานบริการด้านการดูแลรักษาความสะอาด และงานบริการต้อนรับโครงการและ6) งานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงการบริการให้คำปรึกษาและวิจัยด้าน GREEN หรือ Sustainable DevelopmentและBIM

 

กลุ่มธุรกิจบริการข้างต้น จะเป็นการให้บริการบริษัทและบริษัทในเครือ รวมถึงงานบริการสู่บริษัทอื่นภายนอกกลุ่ม LPN ทั้งในและต่างประเทศอีกด้วย ซึ่งแผนรายได้การบริการปี 2561 มีเป้าหมายเติบโตจากปี 2560 ร้อยละ 20

 

บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้หลักรวมในไตรมาส 1 ปี 2561 จำนวน 2,499.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.87 ล้านบาท จากไตรมาส 1 ปี 2560 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.09 ถึงแม้ว่ารายได้จากการขายจะลดลงร้อยละ 0.64 แต่มีรายได้ค่าเช่า บริการและรายได้ค่าบริหารของบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นมากกว่าการลดลงของรายได้จากการขายแต่เพื่อเป็นการระบายสินค้าพร้อมอยู่จึงมีค่าส่งเสริมการขาย (ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์) ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.76 มีผลให้กำไรสุทธิลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยลดลงร้อยละ 5.34 ซึ่งในไตรมาส 1 ปี 2561 มีโครงการที่แล้วเสร็จ 3 โครงการ ได้แก่ 1) ลุมพินี พาร์คบีช ชะอำ2

 

2) ลุมพินีพาร์ค เพชรเกษม 98 (C, D) และ 3) ลุมพินี วิลล์ ราษฎร์บูรณะ-ริเวอร์วิว 2 มูลค่าโครงการรวม 3,180 ล้านบาท และบริษัทยังมีการเปิดตัวในไตรมาส 1 ปี 2561 จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ ลุมพินี วิลล์สุขุมวิท 76-แบริ่ง สเตชั่น (2)มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท

 

ช่วง 9 เดือนที่เหลือของปี 2561 บริษัทและบริษัทย่อยมีโครงการที่จะแล้วเสร็จพร้อมส่งมอบอีก 11 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,520 ล้านบาท และมีแผนเปิดตัวเพิ่มอีก 12 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 17,400 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ 31 มีนาคม 2561 บริษัทมี Backlog รวม 6,900 ล้านบาท แยกเป็นปี 2561 จำนวน 5,100 ล้านบาท และปี 2562 จำนวน 1,800 ล้านบาทและบริษัทย่อย 330 ล้านบาท

 

บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ และอัตรากำไรสุทธิลดลงร้อยละ 5.34 และร้อยละ 0.81 ตามลำดับ โดยร้อยละ 32 ของรายได้จากการขาย เป็นการรับรู้รายได้ของโครงการที่แล้วเสร็จในไตรมาส 1 ปี 2561 จำนวน 3 โครงการ ส่วนที่เหลือร้อยละ 68 เป็นการระบายสินค้าพร้อมอยู่ ทำให้กำไรขั้นต้นลดลงร้อยละ 0.93 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

 

บริษัทมีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น 838.98 ล้านบาท จาก 21,006.73 เป็น 21,845.71 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.99 สาเหตุหลักเกิดจากโครงการระหว่างพัฒนา และสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้น 512.65 ล้านบาท จาก 16,964.84 เป็น 17,477.49 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.02 ซึ่งเป็นโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมส่งมอบ 3 โครงการ เป็นการพัฒนาโครงการต่อเนื่องจากปีก่อน และซื้อที่ดินพัฒนาเพิ่มในปี 2561 อีก 3 โครงการ ได้แก่ 1) ลุมพินี ซีเล็คเต็ด สุทธิสาร-สะพานควาย 2) ลุมพินี วิลล์ สุขุมวิท 76-แบริ่ง สเตชั่น (2) และ3) ลุมพินี พาร์ค บรมราชชนนี-สิรินธร

 

ส่วนหนี้สินรวมเพิ่มขึ้น 1,057.14 ล้านบาท จาก 8,592.92 เป็น 9,650.06 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.30 โดยมีสาเหตุหลัก คือมีเจ้าหนี้การค้า และเจ้าหนี้อื่นเพิ่มขึ้น 1,037.24 ล้านบาท จาก 1,780.38 เป็น 2,817.62 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 58.26เนื่องจากมีการพัฒนาโครงการ ทำให้มีเจ้าหนี้ค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น 533.09 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 84.06 อีกทั้งมีเงินปันผลค้างจ่ายจำนวน 516.47 ล้านบาท ซึ่งจะมีการชำระให้กับผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายน 2561

 

จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น และหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 0.49 : 1 เป็น 0.50 : 1 และ จาก 0.69 : 1 เป็น 0.79 : 1 ณ 31 ธันวาคม 2560 และ 31 มีนาคม 2561 ตามลำดับ

 

สำหรับงบกระแสเงินสดงวดสิ้นสุด 31 มีนาคม2561 และ ณ 31 มีนาคม 2560 ลดลงจำนวน 156.13ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 15.77 จาก 989.94 เหลือ 833.81 ล้านบาท เนื่องจากมีการส่งมอบห้องชุดและโอนกรรมสิทธิ์ลดลงสะสม และมีสินค้าค้างขาย จึงมีผลให้กระแสเงินสดลงจากช่วงเดียวกันของไตรมาสก่อน