เอพีมั่นใจอสังหา 2 ไตรมาสปี61 โตต่อเนื่อง ยอดรีเจคทรงตัว ลูกค้าโอนกรรมสิทธิ์ตามกำหนด เผยครึ่งปีหลังพร้อมเปิดตัว35 โครงการ มูลค่า 54,380 ล้านบาท แจง 5 เดือนแรก กวาดยอดขายแล้ว 14,640 ล้านบาท ตั้งงบซื้อที่ดินปีนี้ 8,500 ล้านบาท เดินหน้าสร้างนวัตกรรมใหม่ ผนึกมหาวิทยาลัย Stanford สร้าง ‘กระบวนการ’ คิดเพื่อเข้าถึงการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคที่ซับซ้อน ด้านโครงการแนวราบพร้อมรุกทุกมิติ ขยาย-สร้างฐานใหม่หลังครองใจครอบครัวรุ่นใหม่กว่า 60%


นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน)หรือAP
เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯตั้งแต่ไตรมาส1ถึงไตรมาส2 ว่า มีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้น โดยทุกโครงการของAP ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ขณะที่การถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน (Reject Rate)ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิม12-13% แต่อย่างใด ส่วนภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมดีมานด์ให้การตอบรับดี โดยเฉพาะตลาดคอนโดฯระดับกลางบนถึงไฮเอนด์ เพราะปัจจุบันบริษัทไม่ได้มีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในระดับล่าง หรือราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งจากยอดขายที่ผ่านมา ประกอบกับการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วอย่างต่อเนื่องตามกำหนด ถือเป็นตัวชี้วัดให้เห็นถึงกำลังซื้อที่ยังคงมีอยู่ของสินค้าระดับกลางบนได้อย่างชัดเจน

 

สำหรับการดำเนินงานของบริษัทฯในปีนี้ ได้มีการปรับแผนเปิดตัวโครงการใหม่จากเดิม 34 โครงการ เป็น 43 โครงการ รวมมูลค่า 64,750 ล้านบาท แบ่งเป็นสินค้าแนวราบ 38 โครงการ มูลค่า 39,350 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 25,400 ล้านบาท ซึ่งเปิดตัวในครึ่งปีแรก จำนวน 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 10,300 ล้านบาท ถือว่าเป็นปีที่บริษัทฯ มีการเปิดตัวโครงการมากที่สุดตั้งแต่จัดตั้งบริษัทมา

 


ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 5 เดือนแรก ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2561 บริษัทฯ สร้างยอดขายรวมได้แล้วถึง 14,640 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้แล้วประมาณ 44% ของเป้ายอดขายปี 2561 ที่ตั้งไว้ 33,500 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบและคอนโดมิเนียม (รวม 51% โครงการร่วมทุน) สูงถึง 6,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวมเท่ากับ 5,127 ล้านบาท

 

สำหรับแผนการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ในครึ่งปีหลังนี้ เอพีเตรียมเปิดตัว 3 คอนโดมิเนียมร่วมทุนระหว่างเอพีและมิตซูบิชิ จิโช เรสซิเดนซ์ (บริษัทในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MECG) มูลค่ารวมประมาณ 20,400 ล้านบาท โดยมีไฮไลท์สำคัญคือการเปิดตัวสินค้าระดับ super luxury ด้วยแบรนด์ที่ครองใจผู้บริโภค อย่างแบรนด์คอนโดฯ THE ADDRESS ในทำเลใจกลางเมือง ย่านราชเทวี ภายใต้ชื่อโครงการ THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี มูลค่า 8,300 ล้านบาท ซึ่งเป็นที่ดินที่ซื้อต่อมาจากกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ในราคาประมาณ 1.1-1.2 ล้านบาท/ตารางวา และแบรนด์ LIFE Condo อีก 2 ทำเลศักยภาพ คือ LIFE LADPAO VALLEY มูลค่าประมาณ 6,400 ล้านบาท พร้อมเปิดพรีเซลในเดือนสิงหาคม และ LIFE ASOKE HYPE  มูลค่าประมาณ 5,700 ล้านบาท พร้อมเปิดขายประมาณไตรมาส 4 ปีนี้

 

ปัจจุบัน AP มีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 23 โครงการ มูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 12,100 ล้านบาท โดยในปีนี้AP มีคอนโดฯที่ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์และพร้อมโอนกรรมสิทธิ์จำนวนทั้งสิ้น 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 16,400 ล้านบาท ได้แก่ 1. LIFE อโศก (โครงการร่วมทุน) มูลค่าโครงการ 7,500 ล้านบาท เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2. VITTORIO มูลค่าโครงการ 3,200 ล้านบาท เริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาสสอง 3. RHYTHM เอกมัย (โครงการร่วมทุน) มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท และ 4. ASPIRE สาทร-ราชพฤกษ์ มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ทั้ง 2 โครงการคาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ประมาณไตรมาสสี่ ของปีนี้

 

ส่วนงบซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทตั้งไว้ที่ 8,500 ล้านบาท โดยปัจจุบันได้ใช้ไปแล้ว 3,700 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการซื้อที่ดินโครงการแนวราบแล้วนำมาพัฒนาทันที และมีการซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในปีต่อไปเพิ่มเติม ขณะเดียวกันบริษัทยังคงเดินหน้าการสร้าง ‘กระบวนการ’ คิดเพื่อเข้าถึงการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคที่ซับซ้อนมากขึ้นเพื่อนำไปในสู่วิถีชีวิตใหม่อย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมาการพัฒนาสินค้าทั้งแนวราบและแนวสูง APได้นำแนวคิด STANFORD DESIGN THINKING มาใช้เพื่อค้นหาความต้องการแฝงของผู้บริโภคในอนาคต

 

โดยหนึ่งในนวัตกรรมที่ทีมคอนโดฯได้นำมาประยุกต์ใช้ให้เห็นผลและเกิดขึ้นจริงอย่างเร่งด่วนนั้น คือ การปรับกระบวนการก่อสร้างคอนโดมิเนียม ด้วยการนำเทคโนโลยี AI BIM (Artificial Intelligence Building Information Modeling) เทคโนโลยีการออกแบบงานก่อสร้างอาคารสูงอัจฉริยะ 7 มิติ ซึ่งคิดค้นขึ้นโดย Prof. จากมหาวิทยาลัย Stanford มาใช้อย่างครบวงจรเป็นรายแรกในประเทศไทย โดยจุดต่างของ AI BIM คือ มิติที่ 7 ที่คลอบคลุมไปถึงกระบวนการบริหารจัดการอาคาร (AI BIM for Facility Management) ที่จะเป็นฐานข้อมูลสำคัญในการสืบค้นงานระบบและงานโครงสร้างทั้งหมด เพื่อการซ่อมบำรุงและรักษาสภาพของอาคารให้สมบูรณ์อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ

 

อย่างไรก็ตาม ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2561 บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (backlog) มูลค่ามากถึง 49,435 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 7,635 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 41,800 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน) โดยจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2565

 

ด้านนายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจแนวราบ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด หรือAP กล่าวว่า จากนี้ไปเอพีพร้อมรุกตลาดแนวราบครึ่งปีหลังในทุกมิติ ด้วยแผนการพัฒนาโครงการใหม่ที่มากถึง 32 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 33,980 ล้านบาท  เป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 18,600 ล้านบาท โฟกัสตลาดครอบครัวคนเมือง โดยมี fighting brand อย่าง CENTRO บ้านเดี่ยวสำหรับครอบครัวที่เริ่มต้น และ THE CITY บ้านเดี่ยวสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ ราคาเฉลี่ย 5-15 ล้านบาท และสินค้ากลุ่มทาวน์โฮม 17 โครงการ มูลค่า 15,380 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 2-10 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบ้านกลางเมืองจากเอพีถือครองส่วนแบ่งตลาดสินค้าทาวน์โฮม 3 ชั้นมากสุดเป็นอันดับ 1 ซึ่งเอพีได้ต่อยอดความชำนาญไปสู่การพัฒนาทาวน์โฮม 2 ชั้น แบรนด์พลีโน่ (PLENO) ซึ่งจะเป็น fighting brand ของสินค้ากลุ่มทาวน์โฮมต่อไป ซึ่งการรุกตลาดแนวราบนั้นจะการขยายทั้งตลาดเดิมที่เป็นเจ้าตลาดอยู่แล้วในทำเลต่างๆ เช่น ย่านสุขสวัสดิ์  พระราม 3 ลาดพร้าว  พระราม 9 วัชรพล ปิ่นเกล้า ราชพฤกษ์  รัตนาธิเบศร์ รวมถึงการสร้างฐานลูกค้าใหม่ในทำเลอื่นๆ  เช่น อ่อนนุช  บางนา รังสิต เป็นต้น

 

“ภาพรวมตลาดสินค้าแนวราบในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งอายุของคนซื้อที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ โดยจากข้อมูลเอพีย้อนหลัง 5 ปี กลุ่มคนที่ตัดสินใจซื้อมีอายุเฉลี่ยระหว่าง 18-35 ปี มากถึง 60% รวมถึงต้นทุนในการสรรหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการที่ถือเป็นตัวกรองสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นในตลาดแนวราบเหลือน้อยลง ซึ่งที่ผ่านมาสินค้าแนวราบของเอพีถือว่าประสบความสำเร็จในสัดส่วนที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกไตรมาส แม้แต่ยอดขายเดือนเมษายนที่ถือเป็นเดือนเทศกาล ก็ยังสามารถสร้างยอดขายได้เฉลี่ยสัปดาห์ละ 400 ล้านบาท ซึ่งถ้าโมเมนตั้มยอดขายไปได้เฉลี่ยประมาณ 350-400 ล้านต่อสัปดาห์เชื่อว่าจะสามารถทำยอดขายได้เกินเป้าหมายอย่างแน่นอน” นายภมร กล่าว

นายภมร กล่าวเพิ่มเติมว่า บทเรียนหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานร่วมกับ Prof. จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดคือ กระบวนการทำความเข้าใจในความต้องการแฝงของลูกค้า และการนำข้อมูลเหล่านั้นมาหาจิ๊กซอว์ตัวพิเศษ ที่จะสร้างความได้เปรียบให้กับสินค้าแนวราบของเอพี ถึงแม้วันนี้เรามีแบบบ้านที่อยู่ในระบบมากกว่า 70 โมเดลแล้ว แต่จากอายุของผู้ซื้อโครงการแนวราบที่ลดน้อยลง ถือเป็นสัญญาณที่บอกให้เราต้องลุกขึ้นตั้งรับกับเทรนด์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งจากข้อมูลเราพอจะสรุปออกมาเป็นเทรนด์ในการพัฒนาโครงการแนวราบในอนาคตเป็น 3 เรื่องหลักๆ คือ 1) Multi Generation Living แนวโน้มการอยู่อาศัยร่วมกันของหลายช่วงอายุ ตั้งแต่เจเนเรชั่นรุ่นเบบี้ บูม ไปจนถึงเด็กเล็ก ดังนั้น บทบาทของพื้นที่ต่างๆ ภายในบ้านต้องคิดมากกว่าพื้นที่พักผ่อน ทุกพื้นที่ต้องได้รับการออกแบบบนพื้นฐานการเข้าใจในเรื่อง human scale และพฤติกรรมที่แตกต่างกันของคนแต่ละวัย  2) Healthy Living การให้ความสำคัญกับการออกแบบพื้นที่ที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดี คลอบคลุมความต้องการทั้งพื้นที่ส่วนกลางและภายในบ้าน และ 3) Smart Home Living  คงเป็นเรื่องที่หลีกหนีไม่ได้กับการประยุกต์เอาเทคโนโลยีเข้ามาเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตภายในบ้าน ซึ่งสิ่งที่ลูกค้าให้คุณค่าเป็นอันดับแรกคือ บทบาทของเทคโนโลยีกับการเฝ้าระวัง หรือช่วยเหลือคนที่รักให้ปลอดภัยจากอันตรายที่จะเกิดขึ้นอย่างทันท่วงที

 

“จากแผนการเปิดตัวโครงการ ในปี 2561 จะเป็นปีที่บริษัทเปิดตัวโครงการมากที่สุดตั้งแต่จัดตั้งบริษัทมา โดยเปิดตัวทั้งสิ้น 43 โครงการมูลค่า 64,750 ล้านบาท คงเหลือพร้อมเปิดตัวในครึ่งปีหลังจำนวน 35 โครงการ มูลค่า 54,380 ล้านบาท  แบ่งเป็นเปิดตัวในไตรมาส 3 จำนวน 15 โครงการ มูลค่า 20,700 ล้านบาท และในไตรมาส 4 จำนวน 20 โครงการ มูลค่า 33,680 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ประกอบกับการปรับแผนธุรกิจรุกตลาดแนวราบมากยิ่งขึ้น และคอนโดมิเนียมไฮไลท์ จะสามารถสร้างยอดขายและยอดรับรู้รายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน” นายภมร กล่าวในที่สุด