สิงห์ เอสเตทฯเผยตลาดลักชัวรี่ยังมีดีมานด์ ปิดขายเร็ว ปี61 เปิดตัว 2 โครงการหรู รวมมูลค่า 8,500 ล้านบาท ประเดิมคอนโดฯโลว์ไรส์แบรนด์ใหม่ “EYSE” (อีส) เปิดพรีเซล 21-22 ก.ค.นี้ และ“สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส”บ้านเดี่ยว ultra luxury ราคาเริ่มต้น 250 ล้านบาท  ตั้งเป้ายอดขายรวม 4,000-5,000 ล้านบาท คาดยอดรับรู้รายได้หลังปี63 ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท

 

 

นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)หรือ S เปิดเผย ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันยังคงเป็นกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่มีสัดส่วนการพัฒนาโครงการถึง 80% โดยส่วนใหญ่เป็นประเภทคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับบนขึ้นไปที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้ยังคงได้รับความสนใจเป็นอย่างมากทั้งจากผู้ที่ซื้อเพื่อพักอาศัยเอง ชาวต่างชาติ และกลุ่มนักลงทุน โดยทำเลที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาโครงการค่อนข้างมีอยู่อย่างจำกัด ทั้งนี้ ในปัจจุบันที่ดินที่ติดถนนใหญ่ หรือติดรถไฟฟ้ามีความต้องการสูง และราคาที่ดินยังมีการปรับตัวสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้แนวโน้มการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรส์ในซอย บนทำเลใจกลางเมืองน่าจะมีการเปิดตัวเพิ่มขึ้น

 

ซึ่งจากข้อมูลของบริษัท ซีบีอาร์อี(ประเทศไทย) จำกัด พบว่าจำนวนคอนโดฯในกรุงเทพฯ ที่เปิดตัวในปีที่ผ่านมารวม 55,000 ยูนิต ซึ่งมีเพียง 20% หรือประมาณ 12,000 ยูนิต ที่เป็นคอนโดฯในใจกลางกรุงเทพฯ โดยที่ 6% หรือประมาณ 3,000 กว่ายูนิต เป็นคอนโดในตลาดลักชัวรี่ และอัตราการขายก็ค่อนข้างดีเกิน 60% ขึ้นไปทุกโครงการ โดยบางโครงการปิดการขายภายใน 1-2 เดือน ดังนั้นคอนโดในตลาดนี้ยังมีศักยภาพอีกมาก

 

โดยแผนการดำเนินงานของบริษัทในอนาคตจะเน้นลงทุนพัฒนาโครงการใหม่อย่างน้อยปีละ 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 8,500 ล้านบาทต่อปี ในทำเลที่มีศักยภาพทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยยังคงเน้นการทำตลาดลักชัวรี เจาะกลุ่มเป้าหมายทั้งอาศัยอยู่เองและกลุ่มนักลงทุน ซึ่งในปี2561นี้มีการเปิดตัวใหม่ 2 โครงการ รวมมูลค่า 8,500 ล้านบาท ซึ่งเปิดในครึ่งปีหลังหลังทั้ง 2 โครงการ คือ คอนโดฯแบรนด์ใหม่ “EYSE” (อีส) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1.4 ไร่ สูง 7 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ขนาดตั้งแต่ 52.25-99.75 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 13.99ล้านบาทขึ้นไป ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 270,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 107 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในวันที่ 21-22 กรกฎาคม 2561 นี้ ตั้งเป้ายอดขายถึงปลายปีที่ 50% โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนไทยในสัดส่วน 60% ที่เหลือเป็นชาวต่างชาติ ด้านการก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการในช่วงไตรมาส 4/2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2563

 

 

“สัดส่วนของกลุ่มเป้าหมาย จะเน้นกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองโดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ตามช่วงอายุและไลฟ์สไตล์ คือ กลุ่มแรก Single Adult เป็นกลุ่มที่ต้องการคอนโดมิเนียมเพื่อที่อยู่อาศัยจริงๆ ห้องต้องมีขนาดพื้นที่กว้าง เพราะใช้เวลาอยู่บ้านมากกว่าใช้ชีวิตข้างนอก ชอบความเป็นส่วนตัว กลุ่มที่สองเป็นกลุ่ม Small Family ที่มองหาคอนโดมิเนียมเพื่อใช้ชีวิตในวันทำงาน และกลุ่มที่สามคือ กลุ่ม Early Stage Retirees ที่เคยอยู่บ้านหลังใหญ่ๆ นอกเมือง แล้วเริ่มรู้สึกว่าบ้านเป็นภาระที่ต้องดูแล ไม่มีลูกหรือลูกแยกย้ายไปมีครอบครัวกันหมด จึงมองหาคอนโดมิเนียมที่เดินทางสะดวกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องขับรถเข้ามาในเมืองบ่อยๆ ส่วนกลุ่มที่ซื้อเพื่อการลงทุนจะเน้นกลุ่มนักลงทุนที่มีลักษณะเป็น Thoughtful Investor หรือนักลงทุนที่ซื้ออสังหาฯที่มีคอนเซ็ปต์โครงการที่ตนเองชอบ โดยจะซื้อโครงการไว้เพื่อทั้งอยู่อาศัยเองและสามารถขายต่อได้ด้วย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะลงทุนในระยะยาวมากกว่าลงทุนในระยะสั้น” นายณัฐวุฒิ กล่าว

 

 

ส่วนอีกโครงการคือ “สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 45 ไร่ บริเวณ ถนนประดิษฐ์มนูญธรรม เป็นบ้านเดี่ยว ultra luxury ขนาด 1 ไร่/แปลง ราคา 250 ล้านบาทขึ้นไป มูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดพรีเซลในเดือนกันยายน 2561 นี้ ซึ่งบริษัทได้เปิดให้ผู้ที่สนใจลงทะเบียนตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 100 ราย

 

ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจที่พักอาศัยของสิงห์ เอสเตท ในส่วนของคอนโดมิเนียมประเภทลักชัวรีนับว่ามีครบทั้งแนวสูงและแนวราบ ภายใต้ 3 แบรนด์หลัก คือ “ดิ เอส (THE ESSE) เป็นคอนโดฯไฮไรส์ ,อีส (EYSE)เป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ ที่อยู่ในซอยเล็กน้อย และบ้านเดี่ยวระดับ ultra luxury “สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ THE ESSE (ดิ เอส) ไปแล้วทั้งสิ้น 3 โครงการ ได้แก่  THE ESSE Asoke (ดิ เอส อโศก) ,THE ESSE at SINGHA COMPLEX (ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์) และ THE ESSE Sukhumvit 36 (ดิ เอส สุขุมวิท 36) มูลค่าโครงการรวมแล้วกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ เนื่องจากเป็นโครงการระดับลักชัวรีที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างตรงใจ ด้วยยอดขายรวมประมาณ 80%

 

อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ 4,000-5,000 ล้านบาท และเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท โดยจะมาจากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการดิเอส อโศก ที่จะเริ่มโอนได้ในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมโครงการแรกของบริษัท ที่ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 80% จากมูลค่าโครงการ 4,900 ล้านบาท และในเดือนตุลาคมนี้ บริษัทจะเปิดขายยูนิตที่เหลืออีกสัดส่วน 20% สุดท้าย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 45 ตารางเมตร โดยราคาขายช่วงเปิดตัวเมื่อ 2 ปีที่แล้วอยู่ที่ 200,000 บาท/ตารางเมตร และคาดว่าการนำมาเปิดขายในส่วนที่เหลือราคาขายคงไม่เกิน 300,000 บาท/ตารางเมตร  ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ หรือ Backlog ที่มีอยู่ในปัจจุบัน 11,250 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ในปีนี้บางส่วน และปี 2562 รับรู้รายได้ประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท และในปี 2563 และปีต่อๆไปบริษัทจะมียอดรับรู้รายได้ปีละไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท