เอพีฯเผยภาพรวมตลาดคอนโดฯระดับกลาง-ไฮเอนด์ ดีมานด์ยังตอบรับดีต่อเนื่อง  โดยเฉพาะทำเลลาดพร้าว-รัชดาฯ ย้อนหลัง 5 ปี ยอดขาย-ผลตอบแทนการปล่อยเช่าเติบโตดี ขณะที่ราคาที่ดินคาดอนาคตพุ่งสูงเกินต้นทุนก่อสร้าง 60-70% แนะผู้ประกอบการต้องปรับเกมสู้ เปิดแผนครึ่งปีหลังผุด 3 คอนโดฯร่วมทุนมิตซูบิชิเอสเตท กรุ๊ป  รวมมูลค่า 20,400 ล้านบาท ครึ่งปีแรกกวาดยอดขายรวมแล้ว 17,300 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 52%

 

 

 

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กร และการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์)จำกัด(มหาชน)หรือAP เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าในปัจจุบันว่าดีมานด์ต่อตลาดคอนโดฯระดับกลางถึงไฮเอนด์มีการ-ตอบรับดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในย่านใจกลางทำเลธุรกิจ เช่น ลาดพร้าว และอโศก –พระราม 9 ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นพื้นที่ CBD แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ เนื่องจากศักยภาพทำเลทั้งความพร้อมในวันนี้และปัจจัยจากโครงการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าในอนาคตอันใกล้ที่จะเข้ามายกระดับความสามารถในการเชื่อมต่อเข้าสู่พื้นที่CBD เดิมอย่างย่านสีลม สาทร และ สุขุมวิทได้โดยตรง อีกทั้งแวดล้อมไปด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จึงเป็นที่ต้องการสำหรับผู้ซื้อที่ต้องการความสะดวกสบาย และผู้ซื้อที่ต้องการลงทุนในการปล่อยเช่าและขายต่อเป็นอย่างมาก โครงการที่จะเข้าสู่ตลาดระดับนี้ต้องสร้างความแตกต่างทั้งภายในยูนิตพักอาศัยและพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อที่จะชนะใจคนเมืองที่กำลังมองหาคอนโดฯในทำเลดังกล่าว ที่นับวันจะมีแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น

 

 

สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมเซกเมนต์กลางถึงบน ใน 2 ทำเลศูนย์กลางธุรกิจใหม่ใจกลางเมือง ย่านเชื่อมต่อพหลโยธิน-อารีย์-ลาดพร้าว และย่านเชื่อมต่ออโศก-พระราม 9-รัชดาภิเษกนั้น พบว่าดีมานด์ที่มองหาคอนโดฯใหม่ติดแนวรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา จากการสำรวจข้อมูลการเปิดตัวโครงการใหม่ย่านเชื่อมต่อพหลโยธิน-อารีย์-ลาดพร้าว มีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ทั้งสิ้นจำนวน 19โครงการ ในราคาพรีเซลเฉลี่ย 158,000 บาท/ตารางเมตร มียอดขายรวมกว่า 85% และย่านเชื่อมต่ออโศก-พระราม 9-รัชดาภิเษก พบคอนโดฯโครงการใหม่ทั้งสิ้น 14 โครงการ ราคาพรีเซลเฉลี่ยประมาณ  169,000 บาทต่อตารางเมตร และมียอดขายรวมแล้วกว่า 90% ซึ่งนับเป็นอัตราการตอบรับที่ดี นอกจากนี้ สำหรับผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า ระยะยาว (Rental Yeild) ของคอนโดฯพร้อมอยู่ทั้ง 2 ย่านที่กล่าวมานั้น พบอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน อยู่ที่ประมาณ 5 – 6% ขึ้นไป จึงนับว่าราคาคอนโดมิเนียมในทำเลนี้ ยังเหมาะสมในการซื้อทั้งเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการลงทุน

 

 

“โดยทำเลลาดพร้าวและอโศก นับวันที่ดินจะหายากมากขึ้นเพราะผู้ประกอบการแย่งกันซื้อ ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา(ปี2556-2561)ราคาที่ดินพุ่งสูง35-40% ของต้นทุนทั้งหมดปัจจุบันขึ้นมาที่50% และแนวโน้มราคาที่ดินจะพุ่งสูงถึง 60-70% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทำเล ซึ่งนับวันจะมีการแข่งขันที่สูงขึ้นและต่อรองราคาได้ยาก เมื่อเทียบกับต้นทุนการก่อสร้าง ที่สามารถต่อรองได้ ถือเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการ ในการบริหารจัดการ ซึ่งอาจจะสร้างห้องชุดให้มีขนาดเล็กลง เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้ออยู่อาศัยได้”นายวิทการ กล่าว

 

 

สำหรับแผนการดำเนินการของบริษัทฯในปีนี้ยังเป็นไปตามเป้าที่วางไว้คือ43 โครงการ รวมมูลค่า 64,750 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 17 โครงการ  ทาวน์เฮาส์ 21 โครงการ และคอนโดฯ5 โครงการ ซึ่งในปีนี้ถือเป็นปีแรกที่บริษัทเปิดตัวโครงการที่มีมูลค่ารวมมากสุดตั้งแต่APดำเนินการมา เมื่อเทียบกับปี2560 มีอัตราการเติบโตเชิงมูลค่าสัดส่วน 30% โดยในครึ่งปีแรกเปิดตัวไปแล้ว 8 โครงการ เป็นแนวราบ 7 โครงการ และแนวสูง 2โครงการ

 

โดยในครึ่งปีหลัง2561 บริษัทฯจะเปิดตัวคอนโดฯจำนวน 3โครงการ รวมมูลค่า 20,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับบริษัท มิตซูบิชิ จิโช เรสซิเดนซ์ จำกัด(บริษัทในเครือมิตซูบิชิเอสเตท กรุ๊ป :MECG)ทั้งหมด ได้แก่ 1.Life Ladprao Valley (ไลฟ์ ลาดพร้าว แวลลีย์)ลักชัวรี่คอนโดมิเนียม ภายใต้คอนเซ็ปต์การออกแบบ “Live Your Adventurous Spirit” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 5.2 ไร่ ประกอบด้วยอาคารที่พักอาศัยสูง 44 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 28.80-66.50 ตารางเมตรราคาเริ่มต้นที่ 3.49 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 140,000 บาท/ตารางเมตรจำนวนห้องชุดทั้งสิ้น 1,140 ห้อง มูลค่าโครงการ6,400 ล้านบาท โดยจะเปิดขายรอบแรกผ่านระบบ AP i-Booking ในวันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคมนี้ เวลา 19.00 – 21.00 น. และมีกำหนดเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการพร้อมกันทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศในวันที่ 4 – 5 สิงหาคม 2561ซึ่งเป็นการโรดโชว์ใน 6 ประเทศ คือฮ่องกง,ญี่ปุ่น,จีน,ไต้หวัน,สิงคโปร์,และมาเลเซีย คาดว่าในช่วงพรีเซลจะสามารถทำยอดขายได้ 60%

 

 

2.Life Asoke Hype 3(ไลฟ์ อโศก ไฮป์ )ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ เป็นคอนโดฯ สูง 40 ชั้น จำนวน 1,253 ยูนิต ราคา 2.79 ล้านบาทขึ้นไป มูลค่าโครงการประมาณ 5,700 ล้านบาท ความคืบหน้าขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ คาดว่าจะเปิดขายรอบแรกผ่านระบบ AP i-Booking ในวันที่ 3 ตุลาคม2561 และพรีเซลในวันที่ 6-7 ตุลาคม 2561 นี้

 

และ3.THE ADDRESS SIAM-RATCHATHEWI (ดิ แอดเดรสสยาม-ราชเทวี)มูลค่าโครงการ 8,300 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาส4/2561 แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

 

อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม – มิถุนายน 2561) บริษัทประสบความสำเร็จอย่างมากสามารถสร้างยอดขายรวมของโครงการทั้งกลุ่มคอนโดมิเนียมและแนวราบได้มากถึง 17,300 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายคอนโดมิเนียม 7,370 ล้านบาท และยอดขายสินค้าแนวราบ 9,930 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้แล้วสัดส่วนประมาณ 52% ของเป้ายอดขายรวมปี 2561 ที่ตั้งไว้ 33,500 ล้านบาท

 

“ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 บริษัทมีสินค้ารับรู้รายได้ (backlog) มูลค่ามากถึง 52,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 9,000ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 43,000 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน) โดยจะทยอยรับรู้ภายในปีนี้มูลค่าประมาณ 10,300 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยการรับรู้ไปจนถึงปี 2565 และทางบริษัทมีคอนโดมิเนียมคงเหลือขายประมาณ 10,800 ล้านบาท”นายวิทการ กล่าวในที่สุด