เปิด 3 ปัจจัยหลัก“โกลเด้นแลนด์”บุกที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัด พร้อมขยายการลงทุนสร้างบ้าน-คอนโดฯติดกับ ไฮเปอร์มาร์เก็ต ด้วยการแชร์ที่ดินร่วมกับ BIG C ตั้งเป้าภายในปี 2563 เปิด10โครงการรวมมูลค่า1.5-2 หมื่นลบ.

นายอภิชาติ เฮงวาณิชย์ กรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาโครงการต่างจังหวัด และโครงการพิเศษ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (GOLD) หรือ “โกลเด้นแลนด์” เปิดเผยถึงเป้าหมายในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดว่ามีแผนการพัฒนาทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียมทุกระดับราคา แต่จะเน้นโหมดราคา 1-5 ล้านบาท(ลบ.) ทั้งนี้ กลยุทธ์ รุกตลาดต่างจังหวัด หรือการเลือกจังหวัดที่จะไปพัฒนาโครงการ บริษัทฯวิเคราะห์จากปัจจัยหลักๆ 3 ประการ คือ
1. Demand Size: ความต้องการของตลาด จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ แหล่งงาน และประชากรแฝง
2. Buying Power: ความสามารถในการซื้อ จากรายได้ครัวเรือน ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (Gross Provincial Product) หรือ GPP และทิศทางราคาที่อยู่อาศัย
3. ปัจจัยสำคัญอื่นๆ อาทิ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ เช่น EEC การพัฒนาระบบขนส่งมวลชน MassTransportation เช่น รถไฟฟ้าความเร็วสูง, มอเตอร์เวย์

 

นอกจากนั้นบริษัทฯยังพิจารณาถึงการพัฒนาโครงการร่วมกับ บริษัทในกลุ่ม เช่น BIG C อีกด้วย ในลักษณะแชร์ที่ดินในการพัฒนา ซึ่งทำให้บริษัทฯได้เปรียบในเรื่องต้นทุนที่ดินที่ถูกลง ทราบข้อมูลด้านการตลาดทาง BIG C ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯสามารถวิเคราะห์ขีดความสามารถในการซื้อของผู้บริโภคในเบื้องต้นได้ คาดว่าน่านำร่องโครงการแรกได้ใน จังหวัดเชียงราย

จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้บริษัทฯสามารถเลือกจังหวัดที่เป็นเป้าหมายได้ และศึกษาต่อถึง ประเภทของผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย แล้วจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมต่อไป

 

การเลือกจังหวัดเพื่อทำการพัฒนา แบ่งดังนี้ คือ Tier 1 : ปัจจัยสนับสนุนครบถ้วน สามารถศึกษาที่ดินและนามาพัฒนาได้เลย มี จังหวัดชลบุรี /ระยอง/อยุธยา/เชียงใหม่ และ จังหวัดภูเก็ต ส่วน Tier 2 : ดูการเปลี่ยนแปลงในจังหวัดเหล่านี้เพื่อหาจังหวะในการลงทุน มีจังหวัดนครปฐม /ฉะเชิงเทรา / เชียงราย/ อุดรธานี / นครราชสีมา และ จังหวัดขอนแก่น

 

ตั้งเป้าภายในปี 2563 เปิด10โครงการรวมมูลค่า1.5-2 หมื่นลบ.
ภายในปี 2563 จะมีโครงการในต่างจังหวัดรวมทั้งสิ้น 10 โครงการๆละกว่า1,000 ล้านบาทคิดเป็นมูลค่าโครงการรวม15,000-20,000 ล้านบาท คาดใช้เวลาในการพัฒนาจนถึงปิดการขายได้ทั้งหมดถึงปี 2566 โดยในปี 2562 เปิด 3 โครงการมูลค่าโครงการรวมกว่า 3,000 ล้านบาท ในปี 2563 เปิด 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 6,000-7,000 ล้านบาท

 

ในการรุกตลาดที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดนั้น ได้เริ่มครั้งแรกเมื่อกลางปี 2560 คือ โครงการ โกลเด้นทาวน์ ศรีราชา-อัสสัมชัญ จ.ชลบุรี มูลค่า1,500 ล้านบาท โดยมียอดขายแล้ว 711 ล้านบาท หรือคิดเป็นการขายไปแล้ว 70% ซึ่งมีการโอนในปีก่อนไป 150 ล้านบาท ส่วนปี2561ล่าสุดได้รุกโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ “ทาวน์โฮม”ในอยุธยา ภายใต้ชื่อ โครงการ “โกลเด้น ทาวน์ อยุธยา” มูลค่า1,100 ล้านบาท เป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น บนพื้นที่กว่า 42 ไร่ จำนวน 455 ยูนิต แบ่งเป็นออก 3 เฟส ใช้ระยะเวลาการพัฒนาราว 3 ปี และในเฟสแรกจะเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าได้ภายในปลายเดือนสิงหาคม หรือต้นเดือนกันยายน 2561 นี้

โครงการ “โกลเด้น ทาวน์ อยุธยา” ตั้งอยู่ทำเลติดถนนสายเอเชีย ใกล้แหล่งทำงานที่เป็นนิคมอุตสาหกรรม และศูนย์ราชการจังหวัด และใกล้กับบิ๊กซี ซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมไปถึงการออกแบบโครงการในสไตล์อังกฤษที่ทันสมัย และการออกแบบส่วนกลางของโครงการและการออกแบบภายในบ้าน ทำให้บริษัทฯมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยที่จะเปิดขายเฟสแรกจำนวน 100 ยูนิต ราคาขาย 2-3 ล้านบาทต่อยูนิต ในวันที่ 4-5 สิงหาคม 2561 นี้ โดยบริษัทฯตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 400 ล้านบาท หรือสามารถปิดการขายได้ทันทีในช่วงวันที่เปิดขาย

มีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบ คือ

แบบ Preston (เพรสตัน) 117 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พร้อมฟังก์ชั่นพิเศษ ห้องพระ

แบบ Chester (เชสเตอร์) 103 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ

และ แบบ Saint James (เซ็นต์เจมส์) 96 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ

GOLDEN Kitchen นวัตกรรมครัวไทยโดยเตรียมโครงสร้างพื้นที่หลังบ้านเป็นกำแพงสูงพร้อมรางน้ำให้เรียบร้อย ซึ่งเจ้าของบ้านทำเป็นพื้นที่ห้องครัว ห้องซักรีด หรือเป็นมุมสวนได้ทันที

 

ส่วนเป้าหมายรายได้จากการขายโครงการอสังหาฯในต่างจังหวัดนั้นในปี 2561 บริษัทฯตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 480 ล้านบาท แบ่งเป็นการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการโกลเด้น ทาวน์ ศรีราชา-อัสสัมชัญ 240 ล้านบาท และโครงการโกลเด้น ทาวน์ อยุธยา 240 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้น 108 % เป็น 1,040 ล้านบาท ในปี 2562 และเพิ่มขึ้นอีก 102% เป็น 2,100 ล้านบาท ในปี 2563 ( ตามลำดับ)

 

เน้นสร้างเร็ว-ผ่อนดาวน์สั้น-โอนไว ลดเสี่ยงลูกค้าสร้างหนี้เพิ่ม
พร้อมกันนี้ นายอภิชาติ กล่าวยอมรับว่า ในการรุกตลาดที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดนั้นเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงในเรื่องของกำลังซื้อของผู้บริโภคที่(อาจ)ไม่สูงเท่ากับกำลังซื้อในกรุงเทพฯ อีกทั้งภาระหนี้สินของคนในต่างจังหวัดก็อยู่ในระดับที่สูง ดังนั้น บริษัทฯจึงต้องป้องกันความเสี่ยง ดังนี้ 1.กำหนดการผ่อนดาวน์สั้นคือไม่เกิน 6 เดือนประมาณ 10 % (จอง 5,000 บาท และทำสัญญา 20,000 บาท) ส่วนที่เหลือยื่นขอสินเชื่อจากแบงก์ และในกรณีที่ผู้บริโภคได้รับการอนุมัติสินเชื่อแล้ว ผู้บริโภคจะต้องรับโอนกรรมสิทธิ์ภายใน 3 เดือน หากเกินจะต้องเริ่มนับหนึ่ง(เริ่มต้น)ใหม่ในการยื่นขอสินเชื่อจากแบงก์
2 . ร่วมมือกับพันมิตรสถาบันการเงิน (แบงก์) 5-6 รายในการพิจารณาผ่อนสินเชื่อแก่ลูกค้า ด้วยการให้หยุดเสนอแพคเกจดอกเบี้ยพิเศษอื่นๆในกรณีที่ผู้บริโภครายนั้นตัดสินใจหรือผ่านการอนุมัติสินเชื่อกับแบงก์ใดแบงก์หนึ่งแล้ว
และ 3. ก่อสร้างให้เร็ว โดยบ้าน 1 หลังใช้เวลาในการก่อสร้าง 3-4 เดือน

 

“ในการพิจารณาให้สินเชื่อแก่ลูกค้า พร้อมกับการให้ลูกค้าสามารถผ่อนดาวน์ได้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือนก่อนการโอน จะช่วยลดความเสี่ยงในการกู้สินเชื่อของลูกค้าและลดความเสี่ยงไนการโอนโครงการ” นายอภิชาติ กล่าวย้ำ พร้อมกับให้ความเห็นด้วยว่านอกจากนี้การหาซื้อที่ดินยังเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการรายอื่นที่เข้ามาในต่างจังหวัด เพราะมีต้นทุนที่ดินที่สูงกว่าผู้ประกอบการท้องถิ่น ทำให้ต้องมีการพิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุนอย่างรอบคอบ

 

พร้อมกันนี้ นายอภิชาติ ยังกล่าวถึงขอบข่ายในการดำเนินงานในโครงการพิเศษ ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจใหม่ที่ตั้งขึ้นมาเมื่อต้นปี 2561 ว่าจะดูแลด้านการลงทุนในต่างประเทศ และโครงการที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทาธุรกิจ รวมถึงการพัฒนาไปร่วมกับการขยายการลงทุนของกลุ่ม เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัททั้งในและต่างประเทศ อย่างเช่น การพัฒนาที่อยู่อาศัยในนิคมอุตสาหกรรมร่วมกับบมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) หรือการพัฒนาที่อยู่อาศัยในนิคมอุตสาหกรรมต่างประเทศของกลุ่ม เฟรเซอร์ส ฯ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาตามความเหมาะสม