กลุ่มสตาร์ทอัพ สบช่องทุ่มงบกว่า 30 ล้านบาท เปิดตัวเว็บไซต์ ทีเอส – ฝาง (www.ts-fang.com)  บริการข้อมูลด้านอสังหาฯรูปแบบภาษาจีนครั้งแรกในไทย  ชูจุดต่างด้วยการบริการแบบฟูล เจาะกลุ่มลูกค้าจีน ผ่านแพลตฟอร์มโอทูโอ (O2O) ตั้งเป้าดึงยูสเซอร์เข้าใช้งานไม่ต่ำกว่า 30,000  คนต่อเดือน ระบุทำเลเพชรบุรี-สุขุมวิทตอนปลายกำลังมาแรง ราคา 5 ล้านบาทขายดีสุด

 

 

นายณัฐพงศ์ เลิศวุฒิรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ท่องไทย จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจเว็บไซต์ “ทีเอสฝาง” เปิดเผยว่า  จากประสบการณ์การเรียนและทำงานที่ประเทศจีน พบว่าในช่วงที่ผ่านมามีชาวจีนเข้ามาท่องเที่ยวและลงทุนในเมืองไทยเป็นจำนวนมาก ดังนั้นในปี 2557 ที่ผ่านมาจึงได้ร่วมกับเพื่อนในการก่อตั้งนิตยสาร “ท่องไทย”ขึ้นมาสำหรับแจกฟรีกว่า 300 จุดในกทม.เมื่อได้รับการตอบรับดีก็มาเปิดเว็บไซต์ท่องเที่ยวอีก 1 ช่องทาง ปรากฏว่าได้ตอบการตอบรับดีเช่นกัน มีลูกค้าทั้งธุรกิจอุปโภค-บริโภค และอสังหาฯให้บริการเป็นจำนวนมาก ซึ่งการให้บริการของบริษัทนั้นมีหลากหลากครบวงจร โดยเฉพาะลูกค้าบริษัทอสังหาฯมีใช้บริการถึงสัดส่วน 50% และนับวันจะมีการเข้ามาใช้บริการมากขึ้น

 

ดังนั้นตนและกลุ่มเพื่อน จึงได้ก่อตั้งเว็บไซต์ ทีเอส-ฝาง (www.ts-fang.com)ขึ้นมา  โดยตนและนายเธียรศักดิ์ ธรรมเจริญกิจ ถือหุ้นคนละสัดส่วน 40% นอกจากนี้ยังมีนายชินโชติ วัธนเวคิน และกลุ่มเพื่อนๆถือหุ้นในสัดส่วนที่เหลือ เพื่อให้บริการแพลตฟอร์มแบบฟูลเซอร์วิส เป็นข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์      บ้าน, คอนโดฯมือหนึ่ง, บ้านมือสอง เพื่อเจาะตลาดลูกค้าจีน และกำลังจะเพิ่มเติมในส่วนของคอนโดฯปล่อยเช่า  จึงทำให้เว็บไซต์ต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง  เพื่อเป็นดิกชันเนอรี่ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับคนจีนหรือคนไทยที่สามารถใช้ภาษาจีนได้  โดยเริ่มลงทุนพัฒนาระบบมาตั้งแต่ปี 2559-2561 ด้วยงบประมาณ 30 ล้านบาท เฉลี่ยปีละประมาณ 10 ล้านบาท

 

นายณัฐพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาประเทศจีนมีการเปลี่ยนแปลงโดยตลอดตามธุรกิจ และการดำเนินการในรูปแบบของแพลตฟอร์มจะสามารถตอบโจทย์และแก้ปัญหาให้ผู้ประกอบการในทุกธุรกิจได้ดีที่สุด เพราะที่ผ่านมาผู้ประกอบการไทยจะประสบปัญหาในการทำตลาดกับสื่อจีนมาก ขณะเดียวกันก็มีการนำสินค้าผ่านนายหน้าในการซื้อขายอสังหาฯด้วย ซี่งผ่านมาได้มีผู้ประกอบการรายใหญ่พยายามที่ลดสัดส่วนการขายผ่านนายหน้าลง ด้วยการเข้าเจาะตลาดจีนโดยตรง เพื่อสร้างผลกำไรให้มากขึ้นเช่นกัน ซึ่งเริ่มมีผู้ประกอบการหลายรายเริ่มปรับตัวกันแล้ว ส่วนใหญ่จะเริ่มจากการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รับรู้มากขึ้นก่อน

 

ทั้งนี้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยนั้นยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และด้วยปัจจัยบวกต่างๆ ส่งผลให้  ประเทศไทยเป็นเป้าหมายหลักในการขยายตลาดจากประเทศจีน และกลายเป็นศูนย์กลางของประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยสิ้นเชิง  ภาพที่สะท้อนได้ชัดเจนคือการกว้านซื้อจากกลุ่มลูกค้านักลงทุนชาวจีนที่มีเทรนด์การลงทุนในคอนโดมิเนียมอย่างล้นหลาม ส่งผลให้สิทธิ์ในการซื้อขายของชาวต่างชาติหรือโควตาต่างชาติที่ 49% เต็มจำนวน โดยตัวเลขดังกล่าวจะนับจากจำนวนพื้นที่ปล่อยขายทั้งหมด โดยกลุ่มชาวจีน ฮ่องกง และไต้หวัน จำนวนมากต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงที่ดินจำนวนมากในประเทศไทย ซึ่งโดยกฎหมายแล้วชาวต่างชาติไม่สามารถซื้อได้ จำเป็นต้องใช้นิติบุคคลในการซื้อ ทำให้เกิดความยุ่งยาก นักลงทุนชาวจีนส่วนใหญ่จึงหันมาลงทุนในรูปแบบอาคารชุดหรือคอนโดฯ เนื่องจากมีราคาถูก ลงทุนน้อย เงินดาวน์ต่ำ โดยก้อนแรกค่อนข้างต่ำมากต่างกับที่ประเทศจีนที่ต้องดาวน์ถึง 50-60% อีกทั้งการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยยังได้กรรมสิทธิ์การถือครองแบบฟรีโฮล (Freehold) อีกด้วย

 

ปัจจุบันทำเลทองที่นักลงทุนส่วนใหญ่สนใจและกำลังมาแรงโดยเฉพาะนักลงทุนชาวจีนคือย่านรัชดาภิเษก,พระราม9, สุขุมวิทตอนกลาง โดยเฉพาะในซอย เพราะชาวจีนยังติดค่านิยมการซื้อที่อยู่อาศัยที่ถูก ราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท แต่หากเป็นราคา 5 ล้านบาทจะได้รับการตอบรับดีมาก แต่มีสิ่งที่น่าสนใจคือตลาดจีนมีการตอบรับต่อราคาคอนโดที่สูงขึ้นโดยตลอด รวมไปถึงการซื้อขายคอนโดมิเนียมในระดับ Hi-end มีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

และทำเลที่มาแรงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาคือ ย่านเพชรบุรี ที่ได้รับความนิยมมากกว่าสีลม และสาทร เพราะอยู่กึ่งกลางระหว่างย่านรัชดาฯพระราม9 และสุขุมวิท อีกทั้งอยู่ใกล้ระบบแมสทรานซิส โดยสาเหตุที่ย่านสีลมและสาทรไม่ค่อยได้รับนิยมมากเพราะราคานั้นเลยเพดานไปมากแล้ว และมีบริษัทจากจีนเข้าไปอยู่น้อยมาก ส่วนอีกทำเลที่กำลังมาแรงในอนาคตคือสุขุมวิทตอนปลาย ตั้งแต่พระโขนงอ่อนนุชสมุทรปราการ เพราะราคาขายไม่สูงมาก ซึ่งมีผู้ประกอบการรายใหญ่ และรายกลางเข้าไปทำตลาดเป็นจำนวนมากแล้ว

 

           

 นายเธียรศักดิ์ ธรรมเจริญกิจ  ประธานเจ้าหน้าบริหารฝ่ายการเงิน บริษัท ท่องไทย จำกัด  เผยว่าวัตถุประสงค์ของการเปิดตัวเว็บไซต์ ทีเอส – ฝาง (www.ts-fang.com) เว็บไซต์ด้านอสังหาริมทรัพย์ภาษาจีนเจ้าแรกของประเทศไทย เพื่อเป็นดิกชันเนอรี่และเป็นศูนย์กลางสำหรับนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งคนจีนที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยและคนจีนที่ทำงานอยู่ที่ประเทศจีน  ทั้งยังเป็นฐานข้อมูลเพื่อสืบค้นข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย โดยครอบคลุมหัวเมืองใหญ่ในประเทศไทย อาทิ กรุงเทพฯ พัทยา หัวหิน เชียงใหม่ ภูเก็ต เป็นต้น ซึ่งเป็นจังหวัดที่ชาวจีนสนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากที่สุด โดยเน้นกลยุทธ์การทำธุรกิจภายใต้แพลตฟอร์มแบบ O2O (Online to Offline) ด้วยการผสานระหว่างธุรกิจออนไลน์และออฟไลน์ และยังเป็นหนึ่งในนโยบายยุทธศาสตร์ของรัฐบาลจีน ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

 

สำหรับกลุ่มเป้าหมายของผู้ใช้งานเว็บไซต์ แบ่งเป็น  2  ส่วน คือเอเจนซี่ กับ พร็อพเพอร์ตี้             โอนเนอร์ (Property owner) ส่วนของยูสเซอร์ที่เข้ามาใช้งานเว็บไซต์ แบ่งเป็น 2 ประเภทดังนี้ คนจีนที่ทำงานและอาศัยอยู่ในประเทศไทย และ คนจีนที่เป็นนักลงทุนและอยู่ในประเทศจีน  โดยตั้งเป้ายูสเซอร์ที่เข้าใช้งานบนเว็บไซต์ไม่ต่ำกว่า 30,000 คนต่อเดือน ซึ่งตนอยากให้นักลงทุนที่เป็นเจ้าของห้องชุดมาทดลองขายหรือปล่อยเช่าเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง โดยบริษัทจะให้บริการฟรีในช่วง 1 ปีแรก นับจากวันนี้เป็นต้นไป  ซึ่งกลุ่มเป้าหมายชาวจีนนั้นจะเป็นกลุ่มเทียร์วันทั้งหมด อาทิ  เมืองปักกิ่ง เมืองเซี่ยงไฮ้ เมืองกว่างโจว เกาะฮ่องกง ประเทศสิงคโปร์ และประเทศมาเลเซีย    ปัจจุบันมีผู้ประกอบการอสังหาฯหลายรายทั้งรายใหญ่ กลาง เล็ก ใช้บริการของบริษัททุกรูปแบบครบวงจร รวมไปตัวแทนนายหน้าหลายสิบบริษัทก็เซ็นสัญญาในการใช้บริการด้วยเช่นกัน

 

“ปัจจุบันเว็บไซต์ ทีเอสฝาง มีรายการอสังหาฯที่ซื้อขายในเว็บมากกว่า 1,000 รายการ ครอบคลุมทุกเซกเมนต์  โดยในปี2560 ที่ผ่านมามีลูกค้าที่ใช้บริการผ่านเว็บไซต์และมีการซื้อขายไปเกือบ 400 ล้านบาท หรือประมาณ 100 ยูนิต และในปีนี้คาดว่าจะมีตัวเลขการซื้อขายในตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน พร้อมเพิ่มบริการที่ปรึกษาด้านการซื้อขายอสังหาฯเฉพาะลูกค้าชาวจีน และในอนาคตเรามีแผนที่จะขยายพื้นที่การให้บริการไปยังพัทยา หัวหิน เชียงใหม่และภูเก็ต อีกด้วย เพราะมองว่าอสังหาฯในประเทศไทยยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และคนจีนต้องการอยู่อาศัยในประเทศไทยเสมือนเป็นบ้านหลังที่สอง เพื่อให้การใช้ชีวิตมีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้อสังหาฯในประเทศไทยเติบโตต่อไปได้” นายเธียรศักดิ์ กล่าวในที่สุด