เมื่อทายาทรุ่นที่ 4 ของ 2 ตระกูลดังมาพัฒนาอสังหาฯริมทรัพย์โครงการแรกร่วมกัน คือ “ธัญญ่า-ธัญทิพ เจียรวนนท์” วัย 27 ปี บุตรสาวของ “ศุภกิต เจียรวนนท์”บุตรชายคนโตของ “ธนินท์ เจียรวนนท์” ประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือเจ้าสัวซีพี ซึ่งมีธุรกิจในเครือครอบคลุมในหลากหลายธุรกิจ และ “กล้า-ชวิน อรรถกระวีสุนทร” วัย 28 ปี หลานทวดคุณหญิงหลง อรรถกระวีสุนทร ซึ่งเป็นกลุ่มตระกูลที่ค่อนข้างเก็บตัว แต่เป็นกลุ่มที่เป็นแลนด์ลอร์ดเจ้าของที่ดินในกทม.-ต่างจังหวัดร่วม 700 ไร่ ส่วนใหญ่จะนำมาพัฒนาในรูปแบบของโครงการที่สร้างรายได้ระยะยาวให้กับครอบครัว เช่น โครงการคอมมูนิตี้มอลล์ “เค วิลเลจ” สุขุมวิท 26, สวนเพลินมาร์เก็ต พระราม 4  และโครงการดังในอดีต เช่น อาคารสำนักงานมโนรม, สิรินรัตน์ ย่านพระราม 4 และยังมีกรุที่ดินนับร้อยไร่รอการพัฒนาทั้งย่านพระราม 4 สุขุมวิท ย่านพระราม 9 และหาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งก่อนหน้านี้ได้บริจาคที่ดินส่วนหนึ่งเพื่อก่อสร้างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ รวมไปถึงโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ด้วย

 

 

2ทายาทตระกูลดังสร้างความท้าทายร่วมทุนผุด“เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ”

 โดยนางสาวธัญทิพ เจียรวนนท์ ประธานบริหาร บริษัท 1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ตนจบการศึกษาด้านสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ศิลปะ จากสหรัฐอเมริกา และ มีประประสบการณ์ในการทำงานที่ Ogily&Mather  New York และ Sotheby’s and Hong Land (ภายใต้ Jardine Matheson Group) ฮ่องกง ซึ่งจุดนี้เองทำให้ตนเริ่มมีความสนใจในงานด้านอสังหาฯ เมื่อกลับมากรุงเทพฯ ก็ได้ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการโครงการ ที่บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(MQDC) และเริ่มเรียนรู้ด้านการตลาดอสังหาฯในประเทศไทย โดยเฉพาะโครงการมิกซ์ยูส ประกอบกับได้มาพบกับ “ชวิน อรรถกระวีสุนทร” ซึ่งรู้จักกันก่อนหน้านี้แล้วแต่ไม่สนิทกัน แต่เมื่อได้มาพบกันและมีแนวความคิดเดียวกัน จึงเกิดไอเดียที่จะพัฒนาโครงการของตนเองขึ้นมาก

 

 

 

ด้านนายชวิน อรรถกระวีสุนทร กรรมการผู้จัดการ บริษัท 1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ภายหลังจากที่ตนจบการศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และมีประสบการณ์การทำงานเป็นวาณิชธนกร (ที่ปรึกษาทางการเงิน) ที่ JP Morgan ประเทศไทย กว่า 4 ปี และยังมีประสบการณ์ด้านธุรกิจโรงแรมที่ดุสิตอินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีแผนที่จะออกมาช่วยธุรกิจของครอบครัว แต่เมื่อได้มาพบกับ “ธัญทิพ เจียรวนนท์”และมีแนวความคิดที่ต้องการพัฒนาโครงการที่แหวกแนวเหมือนกัน จึงได้ก่อตั้งบริษัท 1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ขึ้นมา ด้วยทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท ซึ่งตนถือหุ้น 25% และนางสาวธัญทิพ ถือหุ้น 75% ในการพัฒนาโครงการ  “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ – THE STRAND THONGLOR”

 

กว้านซื้อที่ดินจากผู้ครอบครอง13ราย27โฉนด

โดยโครงการดังกล่าวเป็นการซื้อที่ดินแปลงใหม่บริเวณต้นซอยสุขุมวิท55(ทองหล่อ)เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา บนพื้นที่ 1.2 ไร่ ซึ่งใช้ระยะเวลาในการรวมแปลงนานกว่า 6 เดือน เพราะเป็นการซื้อจากผู้ครอบครองที่ดินจำนวน 13 ราย จาก 27 โฉนด ในราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาทต่อตารางวา โดยพัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯ สูง 30 ชั้น และห้องเชิงพาณิชย์ 6 ยูนิต ขนาด 48.10-184.20 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 330,000-390,000 บาทต่อตารางเมตร หรือเริ่มต้นที่ 16.5-70 ล้านบาท จำนวน 198 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 4,800 ล้านบาท ซึ่งได้เปิดขายรอบวีไอพีไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา ขณะนี้มียอดขายแล้ว 1,800 ล้านบาท ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย ซึ่งมีทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และซื้อเพื่อการลงทุน และจะเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการในวันที่ 18-19 สิงหาคม 2561 นี้ คาดว่าในช่วงนั้นจะสามารถทำยอดขายรวมได้ 40% และทั้งโครงการคาดว่าจะเป็นลูกค้าคนไทย สัดส่วนประมาณ 80% และต่างชาติ 20%

 

“เราไม่เน้นการขายเร็ว โดยจะรอให้โครงการแล้วเสร็จก่อนจึงจะทยอยปิดการขาย ซึ่งจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในไตรมาส4/2561 และแล้วเสร็จในไตรมาส1/2564 ”นายชวิน กล่าว

 

เปิดโมเดลธุรกิจเน้นตลาดลักชัวรี่ดึงMQDCเสริมทัพ

นางสาวธัญทิพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่มาของชื่อบริษัท คือ 1.6 นั้นมาจาก “สัดส่วนทองคำที่ดีและสวยที่สุด” ดังนั้นการพัฒนาโครงการของบริษัทฯก็จะต้องพัฒนาให้ดี มีคุณภาพที่สุด และโครงการนี้บริษัทได้ดึงกลุ่มMQDCเข้ามาถือหุ้นด้วยในสัดส่วน 75% และ บริษัท 1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ถือหุ้น 25% ทั้งนี้เพื่อเป็นการนำจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาเสริมซึ่งกันและกัน ซึ่งโมเดลธุรกิจในการพัฒนาของบริษัทฯจะเน้นในรูปแบบของโครงการลักชัวรี่มิกซ์ยูส หรือในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งต้องดูสถานการณ์ตลาดในขณะนั้น  และการพัฒนาก็เปิดโอกาสให้ MQDC เข้ามาถือหุ้นด้วย แต่อาจจะไม่ใช่ทุกโครงการ  โดยไม่มีแผนที่ชัดเจนว่าจะพัฒนาปีละกี่โครงการ  เพราะยังไม่มีแผนที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจึงไม่มีความกดดันที่จะต้องรีบเปิดตัวโครงการ ซึ่งแต่ละโครงการที่พัฒนาจะต้องมีความโดดเด่น มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง โดยเน้นการพัฒนาย่านใจกลางเมืองและหัวเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพทั้งหมด และในระยะยาวยังให้ความสนใจที่จะพัฒนาโครงการในรูปแบบของ Hospitality ด้วย แต่เป้าหมายหลักยังเน้นโครงการการเพื่อการขายมากกว่า

 

 

นายชวิน กล่าวเสริมว่า การพัฒนาโครงการในรูปแบบของลักชัวรี่ในแบบของบริษัทฯนั้นจะต้องมีระดับราคาไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งทำเลที่เหมาะสมจะพัฒนาจะต้องเป็นพื้นที่ทองหล่อ หลังสวน และริมแม่น้ำเจ้าพระยา อย่างย่านคลองสาน  โดยเฉพาะทองหล่อนั้นถือว่าเป็นทำเลที่คนไทยและต่างชาติให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ราคาที่ดินพุ่งไปสูงถึง 20%ต่อปี  ซึ่งก็อาจจะทำให้เจ้าของที่ดินกล้าปล่อยขายที่ดินได้ง่ายขึ้น โดยปัจจุบันที่ดินกลางซอยทองหล่อ ราคาอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาทต่อตารางวา และต้นซอยทองหล่อ ราคาสูงกว่า 2 ล้านบาทต่อตารางวา

 

ถือว่าเป็นตระกูลที่มีทุนหนาทั้ง 2 กลุ่ม ซึ่งต่างมี Background ที่แข็งแกร่ง นับเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯคลื่นลูกใหม่ที่มีอายุน้อยที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง