นับจากที่ 3 พันธมิตร คือ สยามพิวรรธน์ ,แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเมนต์ คอร์ปอเรชั่น และเครือเจริญโภคภัณฑ์ ประกาศร่วมทุนในอภิมหาโปรเจกต์ “ไอคอนสยาม”มูลค่าโครงการกว่า 54,000 ล้านบาท เมื่อเกือบ 6 ปีที่ผ่านมา เท่านั้นยังไม่พอกลุ่มสยามพิวรรธน์ ยังทุ่มงบอีกประมาณ 2,000 ล้านบาท ในการสร้างรถไฟฟ้าโมโนเรล สายสีทอง ส่งผลให้ราคาที่ดินย่านคลองสาน เจริญนคร ปรับตัวสูงขึ้น 3-10%ต่อปี และยิ่งเมื่อ “ไอคอนสยาม”พร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พ.ย. ยิ่งปลุกกระแสราคาที่ดินในย่านดังกล่าวให้เพิ่มสูงขึ้น เพราะโครงการดังกล่าวถือเป็นแลนด์มาร์ค แห่งใหม่ในประเทศไทย ที่รวม 7 สิ่งมหัศจรรย์ไว้ในพื้นที่เดียวกัน เชื่อว่าเมื่อรถไฟฟ้าสายสีทองก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี2563 ราคาที่ดินคงจะพุ่งสูงขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน

 

 

ทุ่มงบกว่า1,000ล้านฉลองเปิดตัวถึงสิ้นปี61

นางชฎาทิพ จูตระกูล กรรมการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด  ผู้ดำเนินโครงการ “ไอคอนสยาม”เปิดเผยว่า หลังจากที่ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณเกือบ 6 ปี บนพื้นที่ทั้งหมด 55 ไร่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา  ซึ่งประกอบไปด้วยศูนย์การค้า โรงแรม และที่อยู่อาศัย มูลค่าโครงการกว่า 54,000ล้านบาท ถือเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของประเทศไทย ที่นำเสนอความแปลกใหม่อย่างมีอัตลักษณ์ที่โดดเด่น รวมร้านค้าและผู้ประกอบการกว่า 500 ราย ตั้งแต่สุดยอดแบรนด์ของไทยไปจนถึงลักชัวรี่แบรนด์จากต่างประเทศ ถือเป็นครั้งแรกของแบรนด์ชื่อดังระดับแนวหน้าของโลก และของไทยกว่า 7,000 แบรนด์ ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ใหม่ นำเสนอสินค้าสุดพิเศษ เฉพาะที่ไอคอนสยามเท่านั้น โดยมีมากกว่า 188 แบรนด์ชั้นนำที่เป็นแบรนด์และคอนเซ็ปต์ใหม่ครั้งแรกในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนเซ็ปต์ Icons within Icon

 

และมีกว่า 80 แบรนด์ เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นครั้งแรก อาทิ  สยาม ทาคาชิมายะ ห้างสรรพสินค้าระดับตำนานที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากประเทศญี่ปุ่น เปิดสาขาแรกในประเทศไทยบนพื้นที่ขนาด 36,000 ตารางเมตร ครอบคลุม 7 ชั้น ครบครันไปด้วยสินค้าที่หลากหลายสำหรับทุกเพศทุกวัย ทั้งหมดกว่า 500 แบรนด์ ในจำนวนนี้ เป็นแบรนด์ญี่ปุ่นชื่อดังมากถึง 180 แบรนด์ และมีกว่า 80 แบรนด์ Apple Store , @Cosme ร้านสเปเชียลตี้สโตร์เครื่องสำอางที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประเทศญี่ปุ่น บนพื้นที่มากกว่า 300 ตารางเมตร, H&M เปิดสโตร์ในรูปแบบอาคารของตัวเอง Triplex Store 3 ชั้นสุดอลังการเป็นครั้งแรก,Urban Revivo  , JD Sports ร้านมิลติแบรนด์สปอร์แฟชั่นชื่อดังระดับโลก, Nike Kicks Lounge แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนพื้นที่มากว่า 210 ตารางเมตร นำเสนอสินค้าที่แตกต่างจาก Nike Store อื่นๆ, Adidas Original Store ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย, ICONACTIVE พื้นที่สำหรับที่สุดของไลฟ์สไตล์ที่เป็นมากกว่าสปอร์ตแฟชั่น ครั้งแรกในประเทศไทย พื้นที่กว่า 1,350 ตารางเมตร นำเสนอเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย แอคเซสเซอรี่ แบรนด์ดังจากทั่วโลกกว่า 40 แบรนด์, และ Jumbo Seafood ร้านอาหารซีฟู้ดชื่อดังจากสิงคโปร์ สาขาแรกในประเทศไทย เป็นต้น

 

 

โดย “ไอคอนสยาม”พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2561 นี้ โดยใช้งบในการลงทุน 54,000 ล้านบาท และทุ่มงบกว่า 1,000 ล้านบาท  สำหรับจัดงานฉลองเปิดตัว รวมทั้งกิจกรรมการตลาดต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้  โดยแบ่งเป็นงบประมาณ 700 ล้านบาท  ในการฉลองการเปิดตัวในวันที่ 9-11 พฤศจิกายน 2561 นี้ ภายใต้แนวคิด “Legendary Party”ซึ่งจะเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญและเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ด้วยการรวมพลังหัวใจไทยสร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่บนแม่น้ำเจ้าพระยาให้สะกดทุกสายตาโลกผ่านการแสดงจากศิลปินชั้นนำทั้งไทย และต่างประเทศ กว่า 1,000 ชีวิต ซึ่งจะมีการแสดงที่เป็นไฮไลท์ คือ การแสดงชุด “Eternal Prosperity โรจนนิรันดร” การแสดงผสมผสานศิลปวัฒนธรรมเข้ากับความล้ำยุค เพื่อสะท้อนความรุ่งเรืองในอดีตที่สืบสานและส่งต่อมาจนถึงปัจจุบันผลงานการออกแบบโดย อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และการแสดงอีกมากมายภายในอาคารไอคอนสยาม

 

“ไอคอนสยามคือ เดสติเนชั่น ที่เกิดจากการรวมพลังความคิดสร้างสรรค์ระดับชาติครั้งยิ่งใหญ่ จากหัวใจคนไทยหลายภาคส่วนผู้มีความรู้ความสามารถจากชุมชนทั่วประเทศ ภาคธุรกิจ และภาคราชการ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญแขนงต่างๆ จากหลายประเทศที่รักเมืองไทยรวมแล้วเป็นทีมผู้ร่วมสร้างสรรค์กว่า 1,000 คน ซึ่งถือเป็นโครงการที่ดึงสิ่งที่ดีที่สุดของประเทศไทย มาบอกเล่า 1 ล้านเรื่องราวของคนไทย ในรูปแบบของความวิจิตรสมัยใหม่ ริมน้ำเจ้าพระยา ใช้เม็ดเงินลงทุน 54,000 ล้านบาท มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของไทย กับ 500 ธุรกิจ ที่จะอยู่ภายในไอคอนสยาม บนพื้นที่กว่า 55 ไร่”นางชฎาทิพ กล่าว

 

 

เปิดให้บริการช่วงแรก80%ลูกค้าใช้บริการ1.5แสนคน/วัน

ปัจจุบันเปิดให้บริการพื้นที่ 80% ในส่วนของชั้นG-5 และในวันที่ 1 ธันวาคม 2561 จะเปิดตัวโซนร้านอาหาร “อลังการ”เต็มพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งเป็นร้านอาหารที่ออกแบบให้ตั้งอยู่บนนาข้าว มีน้ำตกสูงถึง 17 เมตร ที่ต้องการแสดงให้เห็นถึง“ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว”ของประเทศไทย ที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์

 

ส่วนทรู ไอคอนสยาม ฮอลล์” ที่ไอคอนสยาม ร่วมกับ กลุ่มทรู  พัฒนาเป็นศูนย์ประชุมมาตรฐานระดับโลกและการจัดงานแสดงระดับนานาชาติล้ำสมัยแห่งยุค ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ดีที่สุดโดยการออกแบบให้ได้มาตรฐานสากลในระดับโลก ซึ่งได้รับขนานนามเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งไอคอนสยาม ที่จะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ครั้งแรกในประเทศไทยและของโลกนั้น จะพร้อมเปิดให้บริการได้ในเดือนกรกฎาคม 2562

 

อย่างไรก็ตามในช่วงแรกของเปิดบริการไอคอนสยาม คาดว่าจะมีลูกค้าเฉลี่ย 150,000 คนต่อวัน แบ่งเป็นชาวไทย 65-70% และชาวต่างชาติ 30-35% ส่วนในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างเช่นปลายปี สัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มเป็น 40-45% โดยตั้งเป้าว่าโครงการนี้จะดึงนักท่องเที่ยวได้ 20 ล้านคนต่อปี

 

 

สายสีทองพร้อมเปิดบริการปี63

ส่วนรถไฟฟ้าสายสีทอง ที่ทางไอคอนสยาม เป็นผู้ลงทุนทั้งหมด ด้วยงบลงทุน 2,000 ล้านบาท ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ระยะที่สอง(M-Map Phase2) มีจุดประสงค์เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางบนถนนเจริญนครและเป็นการเชื่อมต่อเข้ากับศูนย์การค้าไอคอนสยาม ดำเนินการโดย กรุงเทพมหานคร บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)หรือบีทีเอสซี ดำเนินการในรูปแบบระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ โดยใช้รถไฟฟ้าล้อยาง และมีแนวเส้นทางเริ่มต้นจากสถานีต้นทางของโครงการใกล้กับสถานีกรุงธนบุรีของรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีลม วิ่งไปตามแนวถนนเจริญนคร ผ่านศูนย์การค้าไอคอนสยาม สำนักงานเขตคลองสาน สิ้นสุดในระยะแรกที่บริเวณแยกสมเด็จเจ้าพระยา-ประชาธิปก รวมระยะทาง 5.7 กิโลเมตร คาดว่าจะมีผู้โดยสาร 50,000 เที่ยวต่อวันเมื่อเปิดทำการ ปัจจุบัน (พ.ศ. 2561) โครงการอยู่ในระหว่างการก่อสร้างในเส้นทางระยะที่ 1 กรุงธนบุรี – เจริญนคร กำหนดแล้วเสร็จ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปี 2563 โดยกำหนดราคาค่าโดยสารที่ 16 บาทตลอดสาย

 

 

จับตารถไฟฟ้าสายสีทองตัวแปรสำคัญเปลี่ยนรูปแบบการใช้ที่ดิน

ด้านนายสุรเชษฐ กองชีพ นักวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า หลังจากที่ “ไอคอนสยาม”เปิดตัวจะเรียกความสนใจทั้งจากฝั่งผู้ประกอบการโครงการคอนโดมิเนียมและผู้ซื้อทั่วไปพุ่งสูงขึ้นทันที แต่ขณะนี้อาจจะยังไม่เห็นความชัดเจนมากนักเท่านั้นเอง หากในอนาคตเส้นทางรถฟ้าสายสีทองมีความชัดเจนมากขึ้นจะทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่ตามแนวถนนเจริญนครโดยเฉพาะช่วงตั้งแต่สะพานสาทร ไปเส้นทางคลองสานมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น แม้ว่าเส้นทางนี้จะเป็นระบบโมโนเรลไม่ใช่รถไฟฟ้าขนาดใหญ่แบบที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน แต่ก็ช่วยให้การเดินทางในบริเวณนี้สะดวกขึ้นอย่างแน่นอน

 

พื้นที่ตามแนวถนนเจริญนครช่วงนี้มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายมาก่อนหน้านี้แล้วในระดับหนึ่งอาจจะไม่มากนัก แต่ก็มียูนิตรวมกันประมาณ 3,640 ยูนิตและเกินกว่าครึ่งเพิ่งเปิดขายหลังจากที่สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรีเปิดให้บริการในปี2552 แต่คอนโดมิเนียมในทำเลนี้มีอัตราการขายที่สูงมากคือประมาณ 94% แสดงว่าผู้บริโภคให้ความสนใจมาก  โดยโครงการส่วนใหญ่ที่เปิดขายก่อนหน้านี้หลายปี มีการก่อสร้างเสร็จเกือบทุกโครงการแล้ว ยกเว้นโครงการที่เพิ่งเปิดขายปี2558 เป็นต้นมา ราคาขายเฉลี่ยของโครงการคอนโดมิเนียมในทำเลนี้อยู่ที่ประมาณ 150,000 บาทต่อตารางเมตร แต่ราคาขายมีความแตกต่างกันมาก เพราะโครงการเก่าๆ ที่เปิดขายมาหลายปีแล้วมีราคาขายเฉลี่ยประมาณ 77,000 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้น แต่โครงการที่เปิดขายหลังปี2552 เป็นต้นมา มีราคาขายเฉลี่ยที่ประมาณ 135,000 บาทต่อตารางเมตร ส่วนโครงการที่เปิดขายในปี2557 – 2559 มีราคาขายเฉลี่ยที่ประมาณ 270,500 บาทต่อตารางเมตร ราคาขายของโครงการในทำเลนี้ปรับขึ้นตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การปรับขึ้นของราคาขายอยู่ที่ประมาณ 3 – 10% ต่อปี โดยเฉพาะราคาขายในปี2557 ที่เริ่มมีข่าวโครงการไอคอน สยาม และยิ่งปรับเพิ่มขึ้นไปอีกเมื่อข่าวของเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีทองเริ่มชัดเจนมากขึ้น โดยโครงการที่เปิดขายมากว่า 10 ปีบางโครงการราคาขายต่อของยูนิตมือสองปรับขึ้นมากกว่า 30% โครงการรถไฟฟ้าสายสีทองจะเป็นตัวแปรสำคัญในอนาคตที่ทำให้ทำเลนี้เปลี่ยนรูปแบบการใช้ประโยชน์บนที่ดินจากบ้านพักอาศัย ตึกแถวเก่าๆ ไปสู่รูปแบบอื่นที่สอดคล้องกับมูลค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นแน่นอนในอนาคต