อนันดาฯ เผยปี 62 หลายปัจจัยลบเป็นสิ่งท้าทาย เร่งปรับตัวรับมือ หันเจาะลูกค้าระดับกลาง-บน เปิดแผนปีหมูผุด 10 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 38,000 ล้านบาท พร้อมเปิดตัวแนวราบแบรนด์ใหม่ “Uni Town” เตรียมผนึก Ascott ลงทุนเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์  ย่านพัทยากลางโครงการที่ 5 ล่าสุดเข้าซื้อหุ้น DTC จำนวน 42,500,000 หุ้น สัดส่วน 5% หวังสร้างรายได้ระยะยาว ตั้งเป้ายอดขายแตะ 36,000 ล้านบาท และรับรู้รายได้ 21,000 ล้านบาท

 

นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN  เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 ว่ายังเผชิญกับปัจจัยที่ท้าทาย โดยเฉพาะนโยบาย Macro Prudential สำหรับที่อยู่อาศัยที่มีผลเริ่มบังคับใช้เกณฑ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย  (Loan to Value : LTV) ใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 ประกอบกับภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ที่มีผลต่อความสามารถในการกู้และความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลงไปบ้าง ขณะเดียวกันหนี้สินครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในกลุ่มระดับล่าง ทำให้การปรับตัวของบริษัทฯ ในการพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2562 จะเน้นไปที่กลุ่มระดับกลาง-บน ที่มีราคาขายเฉลี่ย 150,000 บาท/ตารางเมตร ขึ้นไปมากขึ้น ภายใต้แบรนด์ ไอดีโอ, ไอดีโอ คิว และ แอชตัน ส่วนโครงการแนวราบจะพัฒนาภายใต้แบรนด์ Uni Town ซึ่งโครงการที่นำมาเปิดขายในปีนี้ ทางบริษัทมั่นใจว่า จะได้รับการตอบรับที่ดีเหมือนอย่างเช่นเคย และยังมีโครงการที่มีมูลค่าโครงการสูงสุดเท่าที่บริษัทฯ เคยพัฒนามา

 

 

สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้จะเปิดตัวใหม่ทั้งสิ้น 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 38,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ ซึ่งแบ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น คือ มิตซุย ฟูโดซัง 7 โครงการ ส่วนอีก 2 โครงการ เป็นโครงการแนวราบ

 

โดยโครงการที่เป็นไฮไลท์ในปีนี้ ได้แก่ โครงการ ไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย ตั้งอยู่ติดกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย 0 เมตร บนพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ มีจำนวนห้องพักอาศัยทั้งหมด 1,114 ห้อง มูลค่า 10,000 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 189,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งเตรียมเปิดขายในช่วงกลางปีนี้ พร้อมเตรียมลงทุนโครงการเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์  ย่านพัทยากลาง บนพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ จำนวน 324 ห้อง มูลค่าการลงทุน 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ แห่งที่ 5 ที่ร่วมลงทุนกับ Ascott หลังจากที่ประกาศการลงทุนเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ไปแล้ว 4 แห่ง มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท ได้แก่ Ascott ทองหล่อ Ascott Embassy สาทร Somerset พระราม 9 และ LYF สุขุมวิท 8

 

อีกทั้งล่าสุดบริษัทฯ ยังได้เข้าลงทุนในบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DTC โดยเข้าไปซื้อหุ้นสามัญของ DTC จำนวน 42,500,000 หุ้น หรือสัดส่วน 5% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด จำนวน 850,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 12 บาท มูลค่ารวม 510 ล้านบาท ซึ่งมองไปถึงการลงทุนระยะยาวในธุรกิจที่บริษัทต้องการขยายไปที่สามารถสร้างรายได้ประจำให้กับบริษัท แม้จะมีสัดส่วนการลงทุนที่ไม่มาก แต่เป็นโอกาสที่บริษัทจะสามารถสร้างความร่วมมือกับกลุ่มดุสิตธานีในการต่อยอดโครงการลงทุนอื่นๆ ซึ่งเตรียมที่จะเปิดเผยในงานแถลงข่าวร่วมกับกลุ่มดุสิตธานีฯ ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ นี้อีกครั้ง

 

ขณะเดียวกันการลงทุนในอนาคตของบริษัทยังมีกระแสเงินสดที่เพียงพอและแข็งแกร่งในการรองรับการลงทุนในอนาคต ซึ่งบริษัทมีกระแสเงินสดในมือกว่า 13,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนเพิ่มเติมในอนาคต เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ พร้อมกับการมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายตามสถานการณ์ และการรักษาวินัยทางการเงินอย่างเข้มงวด โดยรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ไว้ที่ 1 เท่า

 

 

อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 36,000 ล้านบาท หรือเติบโต 14% จากปีก่อนทำยอดขายได้ 31,500 ล้านบาท  และตั้งเป้ายอดโอนไว้ที่  36,000 ล้านบาท หรือเติบโต 9% จากปีก่อนที่ทำยอดโอนได้ 33,000 ล้านบาท โดยที่ ณ สิ้นปี 2561 บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 41,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนในช่วง 3 ปีนี้ โดยที่ในปี 2562 จะมีคอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างแล้วเสร็จที่เริ่มโอนเพิ่มเข้ามาอีก 10 โครงการ จากปีก่อนที่บริษัทมีคอนโดมิเนียมใหม่ที่เริ่มโอนไปแล้ว 10 โครงการ

 

ทั้งนี้การรับรู้รายได้จาก Backlog ในปี 2562 บริษัทจะทยอยรับรู้เข้ามาอยู่ที่ 21,000 ล้านบาท จากมูลค่า Backlog ทั้งหมดที่มี  41,000 ล้านบาท ส่วน Backlog n ที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 2563 ที่ 13,100 ล้านบาท และปี 2564 ที่ 6,630 ล้านบาท พร้อมทั้งบริษัทมีแผนในการระบายสต๊อกที่ส่วนใหญ่เป็นโครงการคอนโดมิเนียมออกไปให้ได้มากในปีนี้เพื่อเป็นการสร้างรายได้กลับมาให้กับบริษัทโดยที่ปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกรวมทั้งสิ้นมูลค่า 16,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะระบายสต๊อกออกไปในปีนี้ให้ได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้กลับมาให้กับบริษัท และทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสต๊อกลดลง

ขณะที่รายได้ประจำของบริษัทวางเป้าหมายอยู่ที่ 1,700 ล้านบาท ภายในปี 2565 และตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำเพิ่มขึ้นเป็น 20% ซึ่งการเปิดให้บริการเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ แห่งแรกจะเป็นเริ่มในปี 2563 โดยที่ในปี 2561 และ 2562 บริษัทมีการลงทุนก่อสร้างเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์อยู่ที่  1,520 ล้านบาท และ 2,500-3,000 ล้านบาท ตามลำดับ