นับถอยหลังอีกประมาณ 1 เดือนเศษก็จะถึงวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ ในวันที่ 24 มีนาคม 2562 นี้ ซึ่งการที่จะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ก็เป็นสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศคาดหวังว่าจะช่วยนำพาเศรษฐกิจให้เติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะภาคอสังหาฯซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ ที่หลายรัฐบาลที่ผ่านมาก็ให้ความสำคัญและให้ความช่วยเหลือด้วยการออกมาตรการต่างๆอย่างต่อเนื่อง แต่ในปี 2562 นี้เป็นปีที่มีหลายปัจจัยลบมารุมเร้าเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value :LTV) ที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและดีมานด์ทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่พอสมควร ดังนั้นผู้ประกอบการอสังหาฯจึงอยากฝากข้อเสนอแนะถึงว่าที่นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดใหม่ว่าควรจะช่วยเหลือสิ่งใดกับภาคธุรกิจอสังหาฯบ้าง

แนะเร่งดันนโยบายด้านเศรษฐกิจขับเคลื่อน

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท  เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน)หรือ AP เปิดเผยว่า ในฐานะผู้ประกอบการและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย คิดว่าทุกท่านที่อาสาเข้ามาบริหารประเทศล้วนมีความปรารถนาดีต่อบ้านเมือง และอยากให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าขึ้นอยู่แล้ว  อย่างไรก็ตาม เอพีฯจะยังคงดำเนินงานตามแผนธุรกิจที่วางไว้ไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อส่งมอบคุณภาพการใช้ชีวิตที่ดีและยกระดับความเป็นอยู่ของคนในสังคมให้ดียิ่งขึ้น ผ่านสินค้าและบริการของเอพีฯ ทั้งนี้หากการแต่งตั้งรัฐบาลชุดใหม่เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ก็อยากให้รัฐบาลชุดใหม่ช่วยเร่งผลักดันนโยบายทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญออกมาโดยเร็ว เพื่อขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจให้เติบโตและขับเคลื่อนไปได้ด้วยดียิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศดี ก็จะส่งผลให้ภาพรวมของทุกอุตสาหกรรมดีขึ้น รวมถึงในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย

 

ออกมาตรการเชิงบวกกระตุ้นกำลังซื้อ

นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัทพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF  กล่าวว่า อสังหาฯเป็นธุรกิจที่มีเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจที่สูงประมาณ 7-8 รอบ ซึ่งหลายรัฐบาลที่ผ่านมา จะให้ความสำคัญกับภาคธุรกิจอสังหาฯมาโดยตลอด ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลใหม่หลังจากเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562 ให้ความสำคัญกับภาคธุรกิจด้วยเช่นกัน  ด้วยการออกมาตรการเชิงบวกออกมากระตุ้นกำลังซื้อบ้าง เพราะจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ออกมาตรการLTV แม้ว่าจะมีนโยบายที่ต้องการสกัดดีมานด์เทียม แต่ก็ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาฯค่อนข้างรุนแรง เพราะดีมานด์ที่มีความต้องการซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริงจะเดือนร้อน โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ชื่อในการกู้ร่วมกับบุคคลอื่น ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนมากถึง 30-40% และส่วนใหญ่ผู้กู้ร่วมยังไม่มีบ้านเป็นของตนเอง หากมีความพร้อมที่จะซื้อบ้านอยู่อาศัยเอง แต่ติดปัญหามาตรการLTV  จึงอยากให้รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย

เห็นพ้องพิจารณามาตรการLTV-ควบคุมราคาซื้อขายที่ดิน

นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL กล่าวว่า นโยบายของภาครัฐในชุดปัจจุบันที่ช่วยเหลือภาคอสังหาฯอยู่ก็ถือว่าดีอยู่แล้ว และเมื่อรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศในอนาคต ก็อยากให้ผลักดันโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานให้ต่อเนื่อง ทั้งรถไฟฟ้า ทางด่วนพิเศษ การเดินทางทางน้ำ การลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ พิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และการขยายสนามบิน เป็นต้น ซึ่งหากดำเนินการได้สำเร็จ เศรษฐกิจในประเทศก็เติบโตไปถึงระดับรากหญ้า ส่งผลให้ประชาชนมีเงินออมที่จะมาซื้อที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น

 

และอยากให้รัฐบาลชุดใหม่พิจารณาเรื่องมาตรการLTV ในเรื่องตัวเลขใหม่อีกรอบหนึ่ง เพราะสังคมไทยยังเป็นในรูปแบบของ “รวยกระจุก จนกระจาย”อยู่ ในขณะที่ราคาที่ดินก็ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่รัฐบาลที่ผ่านมาและชุดปัจจุบันก็ไม่มีการออกกฎหมายมาควบคุมไม่ให้ราคาซื้อขายที่ดินพุ่งสูงจนเกินไป ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องขายสินค้าในราคาที่แพงตาม สุดท้ายแล้วภาระก็จะไปตกที่ผู้บริโภค และจะทำให้ประชาชนมีบ้านที่ยากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสวนทางกับสิงคโปร์ที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น