เบล็ส แอสเสทฯ ตั้งเป้ายอดขายปี61 โตก้าวกระโดด900 ล้านบาท เปิดแผนปีนี้ผุด 3 โครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 1,500ล้านบาท รุกขยายเซกเมนต์ใหม่คอนโดฯ-บ้านแฝด ครั้งแรก หวังกระจายความเสี่ยง-เพิ่มรายได้แตะ 6,000 ล้านบาท ก่อนแต่งตัวเข้าตลาดmai ในปี62
นายธารินทร์ บวรวนิชยกูร กรรมการ บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบภายใต้แบรนด์ เบล็สทาวน์ (Bless Town) และเบล็ส วิลล์ (Bless Ville) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มองว่า ปี 2561 จะเป็นปีทองของบริษัทฯ ที่มีโอกาสขยายธุรกิจได้ดีอย่างต่อเนื่องจากปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าในปีที่ผ่านมาภาพรวมอุตสาหกรรมจะเติบโตไม่หวือหวามาก แต่ด้วยบริษัทฯ ซึ่งเป็นรายเล็กของตลาดจึงมีข้อได้เปรียบในการปรับกลยุทธ์ได้ง่ายกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ บวกกับแนวทางการวางกลยุทธ์โครงการที่เปิดขาย และการจับกลุ่มตลาดที่ถูกต้อง ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถทำยอดขายทั้งปี 2560 ได้ที่ 570-580 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตกว่าร้อยละ 50 จากปี 2559
สำหรับในปีนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะมียอดขายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่าเท่าตัวที่ 900 ล้านบาท โดยมองภาพรวมอุตสาหกรรมจะเติบโตกว่าร้อยละ 9-10 ตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจรวม (GDP) ที่คาดจะโตกว่าร้อยละ 4.5-5
โดยในปี2561 นี้ บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1,500 ล้านบาท ได้แก่ 1. เมลิโซ ปาร์ค (Meleso Park) ตั้งอยู่ย่านศรีนครินทร์ – หนามแดง บนพื้นที่ 10 ไร่พัฒนาในรูปแบบของบ้านแฝด 4 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่36-45 ตารางวาจำนวน 58 ยูนิต ในราคาพิเศษเริ่มต้น 4.59 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 310 ล้านบาท
2.เบล็สเชอร์ (Bleisure) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2ไร่ ย่านจรัญสนิทวงศ์ 96/1 ถือเป็นครั้งแรกที่พัฒนาในรูปแบบของคอนโดมิเนียม 8 ชั้น สไตล์รีสอร์ท ขนาด28-48 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 1.79-2.8 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 60,000-70,000 บาท จำนวน 193 ยูนิต มูลค่าโครงการ 483 ล้านบาท ห่างจากรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) สายสีน้ำเงิน สถานีบางอ้อ เพียง 700 เมตร โดยเตรียมจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ นี้ ซึ่งมั่นใจว่าลูกค้าจะให้ความสนใจเป็นอย่างดี เพราะจากการศึกษาตลาดและทำเลย่านจรัญสนิทวงศ์ เป็นทำเลทองที่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งรายใหญ่และรายเล็ก ต่างให้ความสนใจเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับและตอบสนองความต้องการของกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าที่อยู่อาศัยที่ยังมีสูง เพราะเป็นย่านที่ความเจริญขยายมาจากตัวเมือง และมีระบบขนส่งมวลชนรอง อาทิ รถไฟฟ้ามหานครส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน สถานีบางซื่อ-หัวลำโพง-ท่าพระ-พุทธมณฑลสาย 4 ที่กำลังก่อสร้าง อีกทั้งยังใกล้ทางด่วนตัดใหม่ศรีรัชวงแหวน ที่สามารถเชื่อมการเดินทางสู่ ตัวเมืองโซนพระนคร ปิ่นเกล้า เพชรเกษม พุทธมณฑล หรือโซนสาทร สีลม จตุจักร ฯลฯ ได้อย่างสะดวก
3.โครงการในรูปแบบมิกซ์ ยูส ระหว่างทาวน์โฮม 2 ชั้น ขนาด 18-19 ตารางวา ราคา 1.7-2.5 ล้านบาท และบ้านแฝด 2 ชั้น ขนาด 36-50 ตารางวา ราคา 4-5 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการประมาณ 29 ไร่ ย่านบางปู รวมจำนวน 318 ยูนิต มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท ความคืบหน้าขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง และศึกษาแบรนด์โครงการที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
อย่างไรก็ดีกลยุทธ์ของบริษัทฯ ยังคงเน้นจุดขายและจับตลาดที่บริษัทฯถนัด ได้แก่ ตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยเริ่มทำงาน กลุ่มสตาร์ท-อัพ และกลุ่มคนที่เริ่มสร้างครอบครัว ที่มีความเป็นตัวเอง สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ โดยยังคงรักษาคุณภาพสินค้าตามแนวคอนเซปต์ความคุ้มค่ายิ่งกว่าราคาจ่าย โดยแนวทางการพัฒนาของบริษัทฯจะไม่ยึดติดทำเล แต่เน้นดีมานด์และสามารถสร้างผลกำไรให้บริษัทฯได้ เพราะที่ผ่านมามีบริษัทรับเหมาก่อสร้างของบริษัทเองจึงสามารถควบคุมต้นทุนการก่อสร้างได้
“ในอดีตเราเริ่มต้นพัฒนาแต่ทาวน์เฮาส์บนพื้นที่ 10-15ไร่ มูลค่าโครงการละ 200 กว่าล้านบาท ต่อมาได้หาพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่20-40 ไร่ มูลค่า400-500 ล้านบาท เพื่อที่จะขยายโครงการที่หลากหลายเซกเมนต์มากขึ้น โดยปัจจุบันมีแลนด์แบงก์สะสมอยู่ 2 แปลงๆแรก ติดแนวรถไฟฟ้า 2สาย คือสายสีม่วง และสีแดง พื้นที่ 4 ไร่เศษ อีกแปลงอยู่ย่านปทุมธานี พื้นที่ 5 ไร่ และอนาคตก็มีแผนจะซื้อเพิ่มอีก3-5 แปลง ๆละ100-200 ล้านบาท เพื่อรองรับรายได้ และภายในระยะเวลา 2 ปีนี้(2561-2562)ยังเน้นรายได้จากแนวราบ สัดส่วน 70% และแนวสูง 30% เพราะมีความเสี่ยงต่ำ และลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่จริง แต่เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัท จึงกระจายความเสี่ยงด้วยการขยายเซกเมนต์คอนโดฯและบ้านแฝดเพิ่มขึ้น เพื่อสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอ(mai)ได้ภายในปี2562 ที่จะต้องมีรายได้ที่ 2,000 ล้านบาท และหลังจากนั้นสัดส่วนรายได้จากแนวราบจะอยู่ที่ 60% และแนวสูงที่ 40%”นายธารินทร์ กล่าวในที่สุด
**ข่าวโดย วาสนา กลั่นประเสริฐ (หน่อย)
