บริษัท เอ็ม.ไทย กรุ๊ป จำกัด ที่เริ่มต้นจากธุรกิจโรงงานผลิตแคลเซียมคาร์ไบด์และก๊าซซิเอสวิรีน ตั้งแต่ปี2510 และในปี2559 ได้เริ่มเข้าสู่ธุรกิจเมืองอุตสาหกรรมเทพารักษ์ ต่อมาได้พัฒนาโครงการสนามกอล์ฟ “เดอะ รอยัล กอล์ฟ แอนด์ คันทรี่ คลับ และก้าวมาพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ “ซิตี้ พาร์ค บางนา” ย่านบางนา กม.24 ใกล้ทางเข้าเมืองใหม่บางพลี และในปี 2532 ได้ชนะการประมูลซื้อที่ดินของธนาคารแสตนดาร์ดชาร์เตอร์แบงก์ จำนวน 22 ไร่บนถนนวิทยุ ซึ่งถือว่าเป็นดีลใหญ่ ราคาที่ดินแพงที่สุดในขณะนั้น คือราคาที่ดินอยู่ที่ 350,000 บาท/ตารางวา หรือมูลค่ารวมประมาณ 3,000 ล้านบาท และต่อมาได้มีการร่วมทุนกับบริษัท ไชน่า รีซอร์สเซส (โฮลดิ้ง) จำกัด ทุนใหญ่จากฮ่องกง พัฒนาโครงการออล ซีซั่นส์ เพลซ จนกระทั่งปี 2540 เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ได้มีการชะลอเปิดตัวโครงการใหม่ ส่งผลให้กลุ่มเอ็ม.ไทยฯหายไปจากวงการอสังหาฯ แต่ก็ยังเปิดการขายโครงการ “ซิตี้ พาร์ค บางนา”อย่างเงียบๆมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประกอบไปด้วย บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ และโฮมออฟฟิศ  โดยใช้ระยะเวลาถึง 10 ปีในการปิดการขายที่อยู่อาศัย ขณะนี้เหลือขายโฮมออฟฟิศอีกเพียง 10 ยูนิต เท่านั้น

 

งัดที่ดินแปลงใหญ่ผุดบ้านเดี่ยว

 

จนกระทั่งในปี 2555 ได้มีการนำที่ดินจำนวน 220 ไร่ บนถนนศรีวารีน้อย  บางนา กม.18 ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ มาศึกษาเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย  โดย ดร. วีรพงษ์ ชุติภัทร์ กรรมการบริหาร บริษัท พรอพเพอร์ตี้ คอนแท็ค จำกัด ในเครือ เอ็ม.ไทย กรุ๊ป เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจพบว่าดีมานด์ในย่านดังกล่าวยังมีความต้องการที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว ราคา 4-7 ล้านบาท ดังนั้นในปี 2558 จึงได้นำที่ดินจำนวน 58 ไร่มาพัฒนาที่อยู่อาศัย ภายใต้แบรนด์ “วารีโอ สุวรรณภูมิ”รวมมูลค่า 5,000 ล้านบาท โดยแบ่งการพัฒนาเฟสแรก จำนวน 20 ไร่ ขนาด 50-70 ตารางวา ราคา 4-7 ล้านบาท จำนวน 60 ยูนิต มูลค่า 300 ล้านบาท ขณะนี้มียอดพรีเซลแล้ว 30%

 

“ภายในระยะเวลา 2-3 ปีนี้ เรายังคงเน้นการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว เพราะไม่อยากไปแข่งขันด้านราคาในเซกเมนต์อื่น และเชื่อว่าในระยะเวลาอีก 5 ปี แนวโน้มจะซื้อบ้านเดี่ยวได้ยากมากขึ้น เพราะอนาคตสังคมไทยจะเป็นแบบญี่ปุ่น ที่การเจริญเติบโตจะเริ่มเป็นศูนย์ เนื่องจากราคาที่ดินจะปรับเพิ่มสูงขึ้นเป็น 10 เท่าตัว ดังนั้นการที่จะเป็นเจ้าของบ้านเดี่ยวก็จะยากมากขึ้น”ดร.วีรพงษ์ กล่าว

ดร.วีรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนการพัฒนาโครงการในปีนี้ของบริษัทฯคงเน้นการขาย “วารีโอ สุวรรณภูมิ”อย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าที่อยู่อาศัยโซนตะวันออกจะได้รับอานิสงส์จากการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 ซึ่งจะมีพนักงานสายการบินจำนวนเพิ่มมากขึ้น จึงเกิดธุรกิจต่างๆ และความต้องการที่อยู่อาศัยตามมา โดยบริษัทคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการพัฒนาที่ดินแปลงดังกล่าวประมาณ 5 ปี แต่อาจจะนานกว่านั้นเนื่องจากเศรษฐกิจในปัจจุบันชะลอตัวมาก

 

ภาษีที่ดินฯพ่นพิษเตรียมงัดแลนด์แบงก์ร่วมทุน

 

ทั้งนี้ที่ผ่านมาบริษัทฯมีการพัฒนาโครงการในทำเลโซนตะวันออกของกทม.มาโดยตลอด เพราะมีที่ดินสะสมอยู่หลายแปลง ปัจจุบันมีแลนด์แบงก์สะสมรวมหลายพันไร่ แบ่งเป็นในปริมณฑลโซนตะวันออกของกทม.มากถึง 80% ส่วนที่เหลืออีก 20% เป็นที่ดินสะสมในต่างจังหวัดทางภาคกลาง ที่ปัจจุบันปล่อยให้เกษตรกรทำการเกษตร แต่หากมีการประกาศใช้พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ ก็คงต้องปรับแผนการนำที่ดินมาพัฒนาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งขณะนี้มีผู้ประกอบการทั้งชาวไทยและต่างชาติ ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน สนใจที่จะเข้ามาซื้อที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพของบริษัทฯหลายแปลง แต่บริษัทฯยังไม่มีนโยบายที่จะขาย คงเน้นในรูปแบบของการร่วมทุนมากกว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

“เชื่อว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2560 จะมีแนวโน้การมเติบโตที่ดียิ่งขึ้น จากปัจจัยหลายๆด้าน ตามสภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มมีความเคลื่อนไหวในทางบวก อาทิ โครงการรถยนต์คันแรกที่เริ่มทยอยหมดลง ถัดไปคือเรื่องของราคาพืชผลทางการเกษตรที่มีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและการจับจ่ายของภาคประชาชนด้วย ที่สำคัญที่สุดคือความชัดเจนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐหลายโครงการ ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการเกิดความเชื่อมั่นและลงทุนต่อเนื่อง”ดร.วีรพงษ์ กล่าวในที่สุด

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*