แสนสิริ  แนะผู้ประกอบการต้องปรับตัวรับความท้าทายยุคดิจิทัล นำเทคโนโลยีใหม่สนองลูกค้า ล่าสุดผนึกพันธมิตรเปิดตัว “สิริ เวนเจอร์” สร้างนวัตกรรมใหม่ ชูProperty Technology เต็มรูปแบบเป็นรายแรกของไทยที่มีโรดแมพชัดเจน พร้อมเปิดโอกาสให้กลุ่มสตาร์ทอัพพัฒนาแนวคิด-เสนอไอเดียใหม่ ใช้งานจริงและสนับสนุนให้เข้าถึงธุรกิจอสังหาฯโดยตรง อนาคตสนขยายบริการตลาดเอเชีย-ตะวันออกกลาง

 

ใช้ทุนจดทะเบียนในช่วงเริ่มต้น 100 ล้านบาท ลงทุนสร้างสรรค์เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ร่วมกับกลุ่มนักวิจัย, นักประดิษฐ์, ผู้ผลิตและธุรกิจสตาร์ทอัพ ตั้งเป้าสร้างเครือข่ายกับผู้พัฒนานวัตกรรมใหม่ด้าน Property Technology อย่างน้อย 300 รายภายในปี 2020 เชื่อมั่น สิริ เวนเจอร์ จะช่วยส่งให้นวัตกรรมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยไทยไปได้ไกลในระดับโลก รวมทั้งเสริมการเติบโตให้กับธุรกิจหลักอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

 

นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)หรือ SIRI เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีนับวันจะเข้ามามีบทบาทในทุกภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาฯ ที่เข้ามาช่วยได้ 100% ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯก็ให้ความสำคัญกับเรื่องเทคโนโลยีมาใช้กับงานขายและการให้บริการลูกค้ามาโดยตลอด ซึ่ง ณ วันนี้เทคโนโลยีดิจิทัลมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและรวดเร็ว ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเข้ากับความท้าทายใหม่ๆ ในการตอบสนองความต้องการและความคาดหวังที่เปลี่ยนไปจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ได้รับอิทธิพลจากเทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านี้ ด้วยการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างรอบด้าน มากกว่าเพียงแค่ใช้ในการทำตลาดอย่างที่ผ่านมา

 

ดังนั้นสำหรับการก้าวต่อไปอย่างยั่งยืนในฐานะ เพื่อคงความเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยบริษัทฯจึงต้องมุ่งมั่นที่สร้างมิติใหม่ในการนำแนวคิดด้านดิจิทัลมาต่อยอดใช้ประโยชน์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อยกระดับกระบวนการทำงาน บริหารจัดการธุรกิจ และเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่สอดรับกับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าด้วยการร่วมทุนกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ก่อตั้ง Venture Capital ในชื่อ บริษัท สิริ เวนเจอร์ จำกัด SIRI VENTURE โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นระหว่างแสนสิริ และธนาคารไทยพาณิชย์  90:10  ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ลงทุนและพัฒนาในนวัตกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่ออนาคต และการใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยหรือ “พร็อพเพอร์ตี้ เทคโนโลยี” (Property Technology) อย่างเต็มรูปแบบรายแรกของไทย

 

“แสนสิริได้ศึกษาและตัดสินใจจัดตั้ง Corporate Venture Capital หรือ “ธุรกิจร่วมลงทุน” ขึ้น เพื่อมองหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจประเภท Property Technology ที่มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทแสนสิริ และจะมีส่วนช่วยผลักดันธุรกิจหลักของแสนสิริให้มีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น รวมถึงมองหาโอกาสและInnovation ทางธุรกิจและกระบวนการธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ประกอบกับการที่แสนสิริมีพันธมิตรทางธุรกิจอย่างธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มีความเข้าใจและมองเห็นโอกาสใหม่ๆ ของการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจในโลกดิจิตัลและให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมด้านการเงินหรือ FinTech ทำให้บริษัทร่วมลงทุนกับธนาคารไทยพาณิชย์ ก่อตั้ง สิริ เวนเจอร์ ขึ้นเพื่อเป็น Corporate Venture Capital ด้าน Property Technology อย่างเต็มรูปแบบรายแรกของไทย

 

ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนคือ แสนสิริจะมีหน่วยงานเฉพาะที่รับผิดชอบเรื่องของการสรรหาและลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทางด้าน Property Technology เหล่านี้เข้ามาใช้เป็นรายแรก ทั้งเพื่อการดำเนินธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ สำหรับลูกค้า หรือสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ จากนวัตกรรมบริการที่สามารถนำไปขายให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่น หรือแม้แต่กับธุรกิจอื่น ๆ เกิดเป็นช่องทางรายได้ใหม่ที่จะผลักดันวงจรการเติบโตแบบก้าวกระโดดครั้งใหม่ซึ่งจะส่งผลประโยชน์สูงสุดคืนให้แก่ลูกค้าจากการที่ แสนสิริจะมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ ทั้งเพื่อการดำเนินธุรกิจ พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ สำหรับลูกค้าตลอดเวลา อาทิ การนำระบบ Smart Home Integration เปิดตัวใช้ที่โครงการ 98 Wireless และโครงการ The XXXIX ทั้งโครงการเป็นครั้งแรก” นายอภิชาติกล่าว

 

นายชาคริต จันทร์รุ่งสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิริ เวนเจอร์ จำกัด กล่าวว่า แสนสิริคือผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บุกเบิกและเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีมานานหลายปีแล้ว โดยเริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำการตลาด ตั้งแต่ปี 2552 ด้วยการทำ Digital Sales Kit บนหน้าจอ Multitouch เป็นรายแรกของไทย ช่วยให้การขายโครงการสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น  รวมทั้งพัฒนา Home Service โมบายแอพพลิเคชั่นสำหรับให้บริการลูกบ้านแสนสิริ ตั้งแต่ปี 2555  ณ วันนี้แสนสิริก้าวสู่อีกระดับด้วยการก่อตั้ง สิริ เวนเจอร์ เพื่อมุ่งพัฒนาและลงทุนใน Property Technology ซึ่งเป็นนวัตกรรมเพื่ออนาคตของการใช้ชีวิต ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น เร็วขึ้น และประหยัดยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาวงการอสังหาริมทรัพย์ให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต นวัตกรรมเป็นได้ทั้งผลิตภัณฑ์ ผลงานวิจัย งานดีไซน์ใหม่ ๆ หรือโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาวงการอสังหาริมทรัพย์ให้เกิดความยั่งยืน นวัตกรรมสร้างได้ทั้งผลิตภัณฑ์ ผลงานวิจัย งานดีไซน์ใหม่ ๆ หรือโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่ครอบคลุมเทคโลยีสำหรับการทำธุรกิจด้านที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร (Holistic Property Technology Landscape) ตั้งแต่การบริหารระบบข้อมูล การออกแบบโครงการ การก่อสร้าง การสนับสนุนการซื้อขาย การบริหาร และให้บริการภายในโครงการ ไปจนถึงเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ในการอยู่อาศัยแบบองค์รวม การสร้างนวัตกรรม ซึ่งผ่านขั้นตอนจากไอเดีย สู่สตาร์ทอัพ จนธุรกิจสามารถอยู่รอดได้นั้น จะกลายเป็นสิ่งที่ผลักดันให้เกิดวงจรการเติบโตแบบก้าวกระโดด นอกจากนั้น บริษัทฯยังจะมีแผนดำเนินธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Management) เพื่อสร้างรายได้ต่อยอดสู่ระดับนานาชาติ

 

โดยภารกิจสำคัญของ สิริ เวนเจอร์ มี 3 ส่วน ประกอบด้วย 1. ร่วมลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย ด้วยลงทุน 100 ล้านบาท เริ่มจากในประเทศไทยและสิงคโปร์  2. ร่วมทุนและยกระดับศักยภาพของ Home Service โมบายแอพพลิเคชัน สำหรับลูกบ้านแสนสิริ เพื่อบริการรูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมทุกมิติของการใช้ชีวิต และสามารถขยายขอบข่ายบริการในตลาดที่กว้างขึ้น และ 3. จัดตั้งโครงการผลักดันสตาร์ทอัพด้าน Property Technology โดยเฉพาะครั้งแรกในประเทศไทย (Property Technology Accelerator) เพื่อเฟ้นหาสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยที่มีศักยภาพในการลงทุน

 

สำหรับการลงทุนและยกระดับศักยภาพของ Home Service โมบายแอพพลิเคชั่นสำหรับลูกบ้านแสนสิริ ซึ่งเริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี 2555 มีผลตอบรับที่ดีมากด้วยจำนวนผู้ใช้จากหลักร้อยเพิ่มเป็นหลักหมื่นในเวลาเพียง 3 ปี จึงมีศักยภาพที่จะปฏิรูปให้เป็นนวัตกรรมบริการดิจิทัลที่อำนวยความสะดวกในทุกมิติของการใช้ชีวิตประจำวันอย่างสมบูรณ์แบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในแวดวง Property Technology ตั้งแต่ ระบบส่งข้อความ แจ้งข่าวสาร เรียกใช้บริการซ่อมแซมภายในบ้าน ไปจนถึงการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ ระบบควบคุมสั่งการอัจฉริยะภายในบ้าน รวมทั้งการเพิ่มเติมบริการอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนไปของผู้คนในอนาคต และเป็น Property Technology ปฏิวัติวงการตัวเด่นที่สามารถขยายขอบข่ายตลาดผู้ใช้สู่วงกว้าง ไม่จำกัดเฉพาะโครงการแสนสิริ ไม่ว่าจะเป็นการนำไปเสนอกับโครงการอสังหาฯ ของผู้พัฒนาอื่น ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบัน  Home Service มีจำนวนผู้ใช้ซึ่งเป็นลูกบ้านของแสนสิริแล้วจำนวนถึงกว่า 13,000 ราย ใน 135 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียม โดยตั้งเป้าภายในระยะเวลา 2 ปีจะมียอดผู้ใช้บริการแอพพลิเคชั่น จากผู้อยู่อาศัยที่เป็นลูกค้าของแสนสิริและจากโครงการภายนอกประมาณ 100,000 ยูนิต และปี 2563 จะมีผู้ใช้บริการถึง 300 โครงการ จาก 70 พันธมิตร ใน 40 บริษัท

 

ด้านโครงการ Property Technology Accelerator จะมีการวางเป้าหมายอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเริ่มในไตรมาส 2 ของปีนี้ โดยรับสมัครทีมสตาร์ทอัพจำนวน 100 ทีม จากนั้นในไตรมาสมาส 3 จะคัดเลือกที่มีศักยภาพ 15 ทีมมาเข้าร่วม Business Incubationเพื่อการบ่มเพาะธุรกิจ พร้อมคอร์สติวเข้มกับผู้บริหารและนักธุรกิจซึ่งมีความเชี่ยวชาญ ก่อนที่จะมาคัดเลือกสตาร์ทอัพที่สามารถต่อยอดทางธุรกิจได้ประมาณ 8-10 ทีมอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งจะผลักดันนวัตกรรมที่บริษัทพัฒนาให้ได้รับการจดสิทธิบัตรต่อไป

 

“เราตั้งเป้าด้วยการส่งเสริมให้มีผลงานที่สามารถไปต่อยอดทางธุรกิจและขายให้กับผู้อื่นได้ รวมถึงการได้จดสิทธิทางปัญญาประมาณ  10 สิทธิบัตร ซึ่งการเริ่มต้นในช่วงแรกจะเน้นการลงทุนกับบริษัทสตาร์ทอัพในประเทศก่อน ปัจจุบันมีการเจรจากับสตาร์ทอัพด้าน Property Technology ประมาณ 3 รายที่เป็นสตาร์ทอัพจากประเทศไทย และเป็นสตาร์ทอัพจากสิงคโปร์ 1 ราย”นายชาคริต กล่าว

 

ทั้งนี้จากฐานข้อมูลการวิจัยและพัฒนาของบริษัทฯพบว่าเทรนด์การพัฒนาเทคโนโลยีกำลังก้าวจากFormless สู่ Borderless และ Limitless ข้อจำกัดต่าง ๆ จะค่อย ๆ ลดหายไป Property Technology ที่มาแรงในช่วงอนาคตอันใกล้ซึ่งเราสนใจลงทุน จึงได้แก่เทคโนโลยีโมบิลิตี้ที่นำมาการใช้งานในรูปแบบใหม่ ๆ ที่หลากหลายขึ้น เทคโนโลยีด้านสมาร์ทโฮม ไม่ว่าจะเป็นด้าน Home Automation, Security หรือ Home AI หรือระบบสั่งการด้วยเสียง ระบบPreventive Maintenance ภายในบ้าน และเทคโนโลยีโรโบติกส์ หรือหุ่นยนต์ ซึ่งสามารถพัฒนามาเป็นหุ่นยนต์ส่งของถึงห้องพักภายในอาคารคอนโดมิเนียมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้พักอาศัย และเทคโนโลยี Exoskeleton  ซึ่งเป็นชุดหุ่นยนต์ที่สวมใส่ได้เพื่อเป็นอุปกรณ์เพิ่มขีดความสามารถของมนุษย์ เช่น ความแข็งแกร่ง เคลื่อนไหวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น สามารถนำมาใช้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในส่วนของงานก่อสร้าง เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพและความรวดเร็ว และลดต้นทุนในการทำงาน ตลอดจนเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 

“ในระยะยาวเราจะรุกตลาดในประเทศไทยก่อน แต่ในอนาคตก็จะขยายการบริการไปยังตลาดต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะในแถบเอเชียและตะวันออกกลาง ส่วนสตาร์อัพ ก็สามารถนำเสนอไอเดียให้กับบริษัทฯได้ หากสามารถนำไปใช้ได้จริงบริษัทฯก็จะใส่เม็ดเงินร่วมทุนด้วย ถือว่าเป็นการให้พื้นที่ในการทดลองของสตาร์อัพ ซึ่งการดำเนินการในรูปแบบนี้เราเชื่อว่าเป็นรายแรกในประเทศไทย เพราะมีโรดแมพที่ชัดเจน ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตร ไม่ดำเนินการเพื่องหวังผลกำไรในระยะสั้น แต่ต้องการผลักดันให้ตลาดอสังหาฯโตควบคู่กันไปด้วย” นายชาคริต กล่าวในที่สุด

 

** prop2morrow โดย คุณวาสนา กลั่นประเสริฐ  เบอร์โทร.02-632-0645 E-mail : was_am999@yaho.com

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*