กลุ่มสยามนุวัตรมั่นใจตลาดไฮเอนด์ยังไม่กระทบ แย้มปี61 เตรียมนำที่ดินย่านอโศกผุดโครงการมิกซ์ยูส หลังเจรจาซื้อที่ดินเพิ่มตามแผน ล่าสุดเปิดตัว “วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม”มูลค่า 3,000 ล้านบาท ฟุ้งปิดขายภายใน 3 เดือน ระบุ5-10 ปีจ่อนำแลนด์แบงก์ย่านฝั่งธนฯผุดแนวราบหลังโครงข่ายภาครัฐแล้วเสร็จ ตั้งเป้าปีหน้ารับรู้รายได้ 2,000-3,000 ล้านบาท

 

นายธารธร อักษรานุวัตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามนุวัตร จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งหลังของปี 2560 ว่าตลาดระดับไฮเอนด์ยังไม่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ แต่ต้องเป็นทำเลที่ดี ตอบโจทย์ลูกค้า ส่วนตลาดระดับกลาง-ล่าง ราคาต่อตารางเมตรต่ำกว่า 100,000 บาทลงมาจะมีผู้ประกอบการพัฒนาโครงการน้อยลง ยิ่งในช่วงเดือนตุลาคมคงยิ่งเปิดตัวใหม่น้อยลงไปอีก แต่จะมีการแข่งขันจัดโปรโมชั่นเพื่อปิดการขายยูนิตที่เหลือให้มากขึ้น

ด้านการแผนดำเนินงานในปี 2561 จะมีการเปิดตัวโครงการในย่านอโศก ในไตรมาส2 ซึ่งที่ผ่านมาได้ซื้อที่ดินมาแล้ว 300 ตารางวาในราคา 2.5 ล้านบาทต่อตารางวา และอยู่ในระหว่างการเจรจาซื้อที่ดินบริเวณใกล้เคียงอีกเพื่อให้ได้ 2 ไร่ เพื่อพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูส ประกอบด้วยคอนโดฯ,โรงแรมระดับ 3-4 ดาวและคอมมูนิตี้มอลล์ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

สำหรับแผนการพัฒนาของบริษัทในปี2560นี้จะมีเพียงโครงการเดียวคือ โครงการ “ WISH SIGNATURE II MIDTOWN SIAM” (วิช ซิกเนเจอร์ 2 มิดทาวน์ สยาม) เป็นคอนโดฯระดับไฮเอนด์ ตั้งอยู่ถนนเพชรบุรี ซ.20 บนพื้นที่โครงการรวม 2 ไร่ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นที่ดินที่ซื้อเพิ่มมาจากโรงเรียนกรุงเทพการบัญชีวิทยาลัย พื้นที่ประมาณ 1 ไร่เศษ ในราคาประมาณ 2 ล้านบาทต่อตารางวา ซึ่งใช้ระยะเวลากว่า 1 ปีเพื่อให้โรงเรียนได้มีระยะเวลาในการเคลียร์พื้นที่ก่อนส่งมอบ โดยพัฒนาในรูปแบบของอาคารสูง 41 ชั้น ขนาด 30-235 ตารางเมตร ราคา 5.4-65 ล้านบาท หรือเริ่มต้นที่ 180,000-250,000 บาทต่อตารางเมตร จำนวน 333 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ซึ่งแบบ 1 ห้องนอน 30-34.98 ตารางเมตร จะมีจำนวนมากสัดส่วน 60% ของยูนิตขายทั้งหมด โดยเริ่มเปิดขายพรีเซลในวันที่ 18-20 สิงหาคมนี้ ณ ลานอีเดน1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งได้มอบหมายให้บริษัท เซ็นจูรี่21เรียลตี้ แอฟฟิลิเอทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และกลุ่มดีทีแซด เป็นผู้บริหารงานขาย คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 3 เดือน โดยจะเป็นลูกค้าคนไทยประมาณ 70-80% ส่วนอีก20% จะเป็นลูกค้าต่างชาติ เช่น ฮ่องกงและจีน เป็นต้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในเดือนมีนาคม 2561 แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม2563

โดยที่ผ่านมาลูกค้าของบริษัทฯส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่ออยู่จริงสัดส่วน 90% ที่เหลือเป็นการซื้อเพื่อปล่อยเช่า ซึ่งราคาเช่าอยู่ที่ประมาณ 30,000 บาทต่อเดือน ส่วนโครงการ “วิช ซิกเนเจอร์ มิดทาวน์ สยาม”ซึ่งเปิดการขายเมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา ขณะนี้เหลือขายเพียง 5% หรือประมาณ 30 ยูนิต ส่วนใหญ่เป็นห้องขนาด 34 ตารางเมตร จากทั้งโครงการจำนวน 623 ยูนิต ปัจจุบันราคาขายอยู่ที่ 200,000 บาทต่อตารางเมตร จากช่วงเปิดขายครั้งแรกราคาอยู่ที่ 150,000 บาทต่อตารางเมตร ทั้งนี้เพราะบริษัทจะรอให้โครงการก่อสร้างแล้วเสร็จก่อนจึงเน้นการขายในส่วนที่เหลืออีกครั้งหนึ่ง เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการ คาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ได้ในเดือนมีนาคม 2561

 

ปัจจุบันทำเลย่านถ.เพชรบุรี มีการแข่งขันกันแต่ไม่มากเท่าที่ควร เพราะที่ดินแทบไม่เหลือให้พัฒนา ขณะนี้มีซัพพลายเหลืออยู่เพียง 2,000-3,000 ยูนิต และมีอัตราการดูดซับที่ดีประมาณ 10% เชื่อว่าจะสามารถทยอยโอนได้ภายใน 2-3 ปี

 

ตุนที่ดินย่านฝั่งธนบุรี500ไร่รองรับพัฒนา5-10ปี

ปัจจุบันทางครอบครัวยังมีที่ดินสะสมอยู่อีกหลายแปลง โดยเฉพาะทำเลฝั่งธนบุรีรวมแล้วประมาณ 500 ไร่ ซึ่งรวมถึงแปลงย่านตลิ่งชันที่มีแผนจะพัฒนาโครงการแนวราบด้วย แต่คงต้องเป็นแผนระยะ 5-10 ปี เพราะต้องรอให้ระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐแล้วเสร็จทั้งหมดก่อน ส่วนจะเป็นโครงการระดับราคาเท่าไหร่นั้นคงต้องตั้งให้เหมาะสมกับสภาวะการณ์เศรษฐกิจในช่วงนั้นๆ โดยปัจจุบันที่ดินแปลงดังกล่าวได้ให้เกษตรกรเช่าพื้นที่ไปก่อน ซึ่งภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯคงไม่มีผลกระทบ ถือว่าเป็นปัจจัยบวกเพื่อช่วยเหลือรัฐบาลให้มีเสถียรภาพยิ่งขึ้น

 

ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้(Backlog)ประมาณกว่า 500 ล้านบาท หรือประมาณ 60-70 ยูนิต ซึ่งมาจากโครงการ Vertiq Condo และในปี 2561 คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท จากโครงการ WISH SIGNATURE MIDTOWN SIAM จากมูลค่าโครงการทั้งหมดกว่า 4,000 ล้านบาท ปัจจุบันรายได้หลักของครอบครัวจะมาจากธุรกิจอสังหาฯสัดส่วน 80% ธุรกิจไอที 10% และธุรกิจอื่นๆ 10%