ก่อนจะพูดถึงรายละเอียดของทำเลที่ตั้งและรายละเอียดของโครงการ อยากจะขออธิบายให้ฟังถึงความน่าสนใจของ ‘คอนโดนอกกระแส’ กันสักหน่อยคอนโดนอกกระแส คืออะไร? เราคงจะได้เห็นภาพมากมายของปรากฏการณ์การจองคอนโดที่ได้รับความสนใจอย่างสูงไม่ว่าจะเป็นการต่อคิวข้ามวันข้ามคืน ปรากฏการณ์ One Day Sold Out หรือพวกคอนโดที่เป็น Talk of the Town ที่จะมีกลุ่มนักลงทุนจำนวนมาก (มากกว่ากลุ่มผู้อยู่อาศัยจริง) วิ่งกรูเข้าไปจับจองห้องชุดมาเพื่อทำกำไรระยะสั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นสำหรับยุคนี้คือ มีการขายห้องชุดกันในลักษณะ ‘ขายส่ง’ คือหากคุณยอมซื้อห้องไปในปริมาณมากๆ เช่น การเหมาทั้งชั้น คุณจะได้รับสิทธิในการจองก่อน และอาจะรวมถึงสิทธิ์ในได้ลดส่วนลดที่มากกว่าคนอื่นอีกด้วย โดยกลุ่มนักลงทุนที่ได้มีการเข้าจองห้องชุดในปริมาณมากๆ จะต้องประสบปัญหาในปล่อยขายใบจองต่อให้ได้ก่อนที่โครงการจะสร้างเสร็จ ซึ่งปัญหาที่ตามมาคือ เมื่อทางโครงการขายไปได้ในปริมาณมากหรือ Sold Out ทางโครงการไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนเพื่อทำการตลาดเพิ่ม ทำให้กระแสและการรับรู้ของกลุ่ม Real Demand หรือผู้อยู่อาศัยจริงหายไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการขายใบจองต่อด้วยเพราะกลุ่ม Real Demand จะถูกคอนโดใหม่ๆที่กำลังทำการตลาดอย่างหนักดึงดูดเข้าไปแทน ซึ่งเมื่อโครงการสร้างเสร็จ จึงเกิดภาพของการเทขายใบจองในปริมาณมากเกิดเป็นภาพลบที่ไม่ดีต่อโครงการ

พฤติกรรมของ Real Demand ส่วนมากจะไม่ค่อยสอดคล้องกับการขายใบจองของกลุ่มนักลงทุนนัก เปรียบเสมือนหากท่านกำลังหิวข้าวและต้องการทานอาหาร เมื่อเดินทางไปถึงร้านอาหารที่ต้องการทานแล้วพบว่ามีคิวรออยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจจะต้องรอนานถึง 2 ชั่วโมง ลูกค้าบางกลุ่มอาจจะไม่อยากรอ เดินไปหนีไปทานที่ร้านอื่น เช่นเดียวกันกับ Real Demand ที่เมื่อเห็นว่าคอนโดที่ตนเองสนใจ Sold Out ไปแล้ว หรือต้องไปแย่ง ต่อคิวกัน อาจทำให้ลดความสนใจลงอย่างมาก จนหนีไปดูที่อื่นที่อยู่นอกกระแสแทน

ลักษณะของคอนโด Real Demand คือคอนโดที่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยจริง เพราะสะดวกทั้งในแง่ของการเดินทาง อาหารการกิน การใช้ชีวิตและสิ่งอำนวยความสะดวกรอบๆโครงการ มีส่วนกลางที่สามารถใช้งานได้จริง และอยู่ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งข้อดีของโครงการ Real Demand คือการที่เมื่อกลุ่มผู้อยู่อาศัยจริงค่อยๆทยอยเข้าซื้อเรื่อยๆในช่วงที่โครงการกำลังก่อสร้าง ทำให้ปริมาณนักลงทุนที่หวังกำไรระยะสั้นมีน้อย เมื่อโครงการสร้างเสร็จกลุ่มผู้ซื้อที่มีความต้องการอยู่อาศัยจริงหรือโอนกรรมสิทธิ์มีปริมาณมาก ทำให้มีห้องเหลือเทขายออกมาน้อย ทำให้ราคาไม่ตกซึ่งหากเป็นทำเลที่ดีคือรายล้อมด้วยวิ่งอำนวยความสะดวกมากมายและมี exposure (ความโดดเด่น) ที่ดีจะยิ่งทำให้ในอนาคตหลังโอน จะมีกลุ่มผู้สนใจเข้ามาซื้อ resale จำนวนมาก ในขณะที่มีคนต้องการขายห้องออกในปริมาณที่น้อย ทำให้ได้กำไรจากการขายต่อที่ดีและการแข่งขันไม่สูง

ซึ่งคอนโด Knightbridge พหลโยธิน อินเตอร์เชนจ์ ก็เป็นหนึ่งในคอนโดที่มีลักษณะดังที่กล่าวมาด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

ทำเลที่ตั้ง อยู่อาศัยได้จริง รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และโดดเด่นมาก

ด้วยทำเลที่ตั้งของโครงการที่อยู่หากจาก Interchange Station ของรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียวและสีชมพูเพียง 250 เมตรเท่านั้น อีกทั้งยังตั้งอยู่บนถนนใหญ่พหลโยธินจึงถือได้ว่าเป็นโครงการที่สะดวกสบายมาก เพราะนอกจากสถานีรถไฟฟ้าจะอยู่ในระยะที่สามารถเดินถึงได้อย่างสบายๆแล้ว ตัวโครงการยังไม่ต้องเข้าซอยซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่า อีกทั้งด้วยความที่เป็นโครงการ High Rise สูง 15 ชั้นที่อยู่ติดถนนใหญ่จึงทำให้ตัวโครงการโดดเด่น สร้างการรับรู้ของตลาดสำหรับการขายต่อในอนาคตได้

รถไฟฟ้าที่ใกล้โครงการยังประกอบด้วยสายหลักอย่าง BTS สายสีเขียวที่เป็นเส้นหลักของกรุงเทพสามารถเดินทางเข้าสู่สถานที่สำคัญๆได้มากมายคือ 4 สถานทีถึงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 7 สถานีถึงพหลโยธิน 24 ที่กำลังจะกลายเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญแห่งใหม่ของกรุงเทพตอนเหนือที่นอกจากปัจจุบันจะเต็มไปด้วยอาคารสำนักงานชื่อดังจำนวนมากแล้วในอนาคตยังมีโครงการขนาดใหญ่ของกลุ่ม BTS และ Gland จะเข้ามาพัฒนาให้เกิดเป็นเมืองธุรกิจอีกในอนาคต, 8 สถานีถึง Central ลาดพร้าว, 9 สถานีสู่หมอชิตที่มีทั้งแหล่งงานขนาดใหญ่และสวนสาธารณะขนาดมากกว่า 700 ไร่และตลาดนัดจตุจักรอันเลื่องชื่อ และยังผ่านทำเลสำคัญๆอื่นๆอีกเช่น อารีย์ สยาม และเชื่อมต่อสู่ย่านธุรกิจของฝั่งสุขุมวิทอย่าง ชิดลม วิทยุ อโศก พร้อมพงษ์ได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนขบวน

สำหรับสายสีชมพูซึ่งเป็นสายรองนั้นจะวิ่งตั้งแต่ศูนย์ราชการนนทบุรี แล้ววิ่งเข้าเส้นแจ้งวัฒนะผ่านเมืองทองและศุนย์ราชการ และมาเชื่อมต่อกับสายสีเขียวที่สถานีวัดพระศรีมหาธาตุที่เป็นที่ตั้งของโครงการ จากนั้นเข้าสู่ถนนรามอินทราวิ่งยาวไปจนถึงมีนบุรี

จริงๆแล้วโครงการยังอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีแดงอีกด้วย (ประมาณ 2 กิโลเมตร) ซึ่งสามารถเชื่อมต่อด้วยรถไฟฟ้าสายสีชมพูได้เพราะห่างไปเพียงแค่ 2 สถานีเท่านั้น ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่รังสิต สนามบินดอนเมือง และบางซื่อที่กำลังจะกลายเป็นย่านเชื่อมต่อของการเดินทางด้วยรถไฟขนาดใหญ่ของประเทศในอนาคต และสนามบินสุวรรณภูมิอีกด้วย

นอกจากเรื่องของการเดินทางที่สะดวกมากๆแล้ว บริเวณรอบๆโครงการยังเต็มไปด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ดีมากๆไม่ว่าจะเป็น Tesco Lotus ที่อยู่ตรงข้ามโครงการ และ Central รามอินทราที่อยู่ห่างไปเพียงแค่ 1.2 กิโลเมตร Big C สะพานใหม่ที่ห่างไปเพียง 1.5 กิโลเมตร รวมถึงตลาดยิ่งเจริญและ The Jas ที่อยู่ใกล้เคียง รวมถึงสถานศึกษาอย่างมหาวิทยาลัยเกริก ราชภัฏพระนคร มหาวิทยาลัยศรีปทุม และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และโรงพยาบาลอย่างโรงพยาบาลเซ็นทรัลเยนเนอรัล และโรงพยาบาลภูมิพล ที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงของปัจจัยพื้นฐานของชุมชนในย่าน ซึ่งจะเป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึง Developer ให้เข้ามาลงทุนในโครงการใหม่ๆในราคาที่สูงขึ้น

นอกจากนั้นโครงการยังอยู่ไม่ไกลจากแหล่งงานขนาดใหญ่ อย่างบริเวณสถานีพหลโยธิน 24 ที่เต็มไปด้วยบริษัทชื่อดังจำนวนมากยาวลงไปจนถึงพญาไท ซึ่งแน่นอนว่าราคาคอนโดมิเนียมตั้งแต่สถานีเกษตรศาสตร์ลงไปนั้นมีราคาที่สูงมาก ตัวอย่างจากโครงการปัจจุบันที่มีราคาสูงถึง 140,000 – 150,000 บาทแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงมาก หากตีเป็นเงินเดือนแล้ว น่าจะต้องมีเงินเดือนสูงถึง 50,000 – 70,000 บาทเลยทีเดียวสำหรับห้องขนาด 25 – 30 ตารางเมตร ในขณะที่โครงการ Knightbridge นั้นมีราคาเฉลี่ยเพียงตารางเมตรละ 90,000 บาทเท่านั้นซึ่งเงินเดือนตั้งแต่ 35,000 บาทขึ้นไปก็น่าจะกู้ได้สำหรับห้องขนาดเล็ก

หากเปรียบเทียบกับโครงการอื่นๆที่อยู่บน BTS สายสีเขียวในบริเวณใกล้เคียง จะพบว่าโครงการที่มีราคาพอๆกันนั้น จะอยู่บนสถานีอนุสาวรีย์หลักสี่ ซึ่งไกลออกไปอีก 1 สถานี ที่นอกจากจะไม่ได้เป็น Interchange Station แล้ว ยังไกลจากสิ่งอำนวยความสะดวกอย่าง Central รามอินทราอีกด้วย อีกทั้ง Origin Property นั้นยังเป็นบริษัทชั้นนำด้านอสังหาที่กำลังมาแรง ทำให้มีแบรนด์ที่ติดตลาด ส่งผลต่อการปล่อยเช่าและขายต่อในอนาคต

หากจะพูดถึงการลงทุนเพื่อการเช่าแล้ว แน่นอนว่าด้วยทำเลที่ใกล้กับแหล่งงานขนาดใหญ่แต่มีราคาเช่าในระดับที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ (ตั้งแต่ 10,000 บาทลงไปสำหรับห้องขนาดเล็ก) อีกทั้งยังเดินทางได้อย่างสะดวกและใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกจำนวนมาก จะเป็นทำเลที่น่าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับผู้เช่าอย่างแน่นอน

สำหรับผลตอบแทนจากการเช่า แน่นอนว่าหากเลือกโปรโมชั่นของธนาคารที่ดีซึ่งในปัจจุบันก็มีออกมาให้เลือกอย่างมากมาย อย่างเล่น ล้านละ 2,000-3,000 บาทเป็นต้น จะสามารถสร้าง passive income จากค่าเช่าได้เป็นอย่างดี หรือถ้าจะคิดเป็น %ผลตอบแทน ก็สามารถทำได้ถึงประมาณ 4.5-6% เลยทีเดียว

สำหรับการลงทุนเพื่อขายต่อในอนาคตนั้นน่าสนใจมาก เพราะอัตราการเติบโตของราคาเส้นพหลโยธินมีการเติบอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้ว่าบริเวณสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่แม้ว่าจะยังไม่มีรถไฟฟ้าเปิดให้บริการในปัจจุบันนี้ แต่ยังมีราคาเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยถึง 23% ต่อปีเลยทีเดียว (ตั้งแต่ปี 2012-2017) ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากที่รถไฟฟ้าเปิดให้บริการ (ปลายปี 62) ซึ่งเป็นช่วงที่โครงการใกล้จะสร้างเสร็จแล้ว ราคาของคอนโดมิเนียมบริเวณดังกล่าวจะขึ้นไปสูงมาก อาจจะถึงตารางเมตรละ 12x,xxx – 13x,xxx บาทเลยทีเดียว เพราะบริเวณโครงการนั้นรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น Tesco Lotus, Big C และ Central อีกทั้งยังเป็นสถานี Interchange จึงเรียกว่าได้เป็นย่านที่น่าสนใจมากที่สุดเลยก็ว่าได้ และจะมีโครงการใหม่ๆมาช่วยดันราคาอย่างแน่นอน (ล่าสุดได้ยินมาว่ามี Developer เจ้าใหญ่ กั้นรั่วแล้วที่บริเวณสถานีสายหยุดซึ่งห่างออกไปอีก 2 สถานี และ Developer เจ้านี้ราคาเปิดตัวค่อนข้างสูงมากด้วย)

รายละเอียดโครงการ Knightbridge พหลโยธิน อินเตอร์เชนจ์

เป็นคอนโดมิเนียม High Rise สูง 15 ชั้น จำนวน 2 อาคาร บนที่ดินประมาณ 5 ไร่ แต่มีจำนวนยูนิตน้อยเพียง 726 ยูนิตเท่านั้น และร้านค้าอีก 3 ยูนิต ด้วยปริมาณห้องชุดที่น้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดที่ดิน ทำให้ทางโครงการสามารถพัฒนาพื้นที่ส่วนกลางเพื่อลูกบ้านได้มากถึง 3,700 ตารางเมตร มีปริมาณที่จอดรถมากถึง 53% (รวมจอดซ้อนคัน)

via GIPHY

 

ทางโครงการมีห้องชุดให้เลือกหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น 1 Bedroom ขนาด 23.3 – 34.2 ตารางเมตร. 1 Bedroom Plus ขนาด 33.4 – 38.8 ตารางเมตร และ 2 Bedrooms ขนาด 48.9 – 51.2 ตารางเมตร และพิเศษสุดๆกับห้องแบบ Duplex ขนาด 23.3 – 51.2 ตารางเมตร

โครงการมีความโดดเด่นมากในเรื่องของส่วนกลางและความสวยงาม โดยเริ่มตั้งแต่ชั้น 1 ที่มีส่วนกลางอย่าง Grand Lobby, Business Room, Co-working Space, Private Lobby, Rolling Hill Garden, Pocket Garden และ Playground บริเวณชั้น 4 มีส่วนกลางสำคัญขนาดใหญ่มากมายเช่น Game Room, Sunken Lounge, Bean Bag Zone, Sun Bed, สระว่ายน้ำ L-shape ความยาว 35 เมตร, Jacuzzi, Relfecting Pond, Multipropose Lawn, Secret Garden, Semi Outdoor Terrace, Laundry Room บริเวณชั้น 5 ยังมี Yoga Room และ Fit Club อีกด้วย บนชั้นดาดฟ้ายังมี The Excited Sky Bridge, Sky Lounge, Sky Sunket Party, Sky Rolling Garden, Sky BBQ area, Sky Social Deck, 360 degree point view

อีกทั้งห้องชุดโครงการยังมาแบบ Fully Furnish และมีความสูงห้องถึง 2.55 เมตร มีการติดตั้ง Digital Door Lock ของ Hafele มาให้แล้วด้วย ซึ่งขอชมว่ารูปแบบของ Furniture Built-in ที่จัดเตรียมมากับห้องนั้นสวยงามและใช้ได้งานจริง รวมถึงคุณภาพของวัสดุที่ให้ อย่างเช่นชุดครัวที่เป็น Top หินสังเคราะห์ อ่างล้างจานแบบฝั่งและเตาแบบเซรามิค เป็นต้น

สรุป

ถนนพหลโยธินเป็นถนนที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเต็มไปด้วยอาคารสำนักงานขนาดใหญ่จำนวนมากที่กระจายอยู่ตัวตามแนวรถไฟฟ้าตั้งแต่กลางเมืองอย่างพญาไทยาวไปจนถึงสถานีพหลโยธิน 24 ซึงถัดจากนั้นไปก็ยังมีปัจจัยสำคัญอย่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ราคาของที่ดินและคอนโดมิเนียมในบริเวณดังกล่าวมีราคาที่สูงมาก ซึ่งเป็นราคาที่ค่อนข้างที่กลุ่มคนทำงานออฟฟิตส่วนใหญ่จะเข้าถึง รวมถึงกลุ่มที่มีความต้องการห้องชุดขนาดใหญ่อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ห้องต้องการห้องชุดขนาด 2 ห้องนอนขนาดประมาณ 54 ตารางเมตรที่มีราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรประมาณ 170,000 บาท (และอาจขึ้นไปสูงถึง 18x,xxx บาทด้วย) จะเท่ากับว่าห้องชุดมีราคาสูงถึง 9 ล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งหากคำนวนจากค่ามาตราฐานที่ยอดผ่อนล้านละ 7000 บาท จะเท่ากับว่าต้องผ่อนแบงค์เดือนละ 63,000 บาทต่อเดือนเลยทีเดียว นั้นแปลว่าผู้ซื้อน่าจะต้องมีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 100,000 บาทขึ้นไปเลยทีเดียว

ในขณะที่หากยอมขยับออกมาเพียงไม่กี่สถานี กลับมีราคาที่ถูกลงถึงเกือบสองเท่า อีกทั้งยังเป็นทำเลที่สามารถอยู่อาศัยได้จริงเพราะรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายอย่าง Tesco Lotus, Big C และ Central ซึ่งหากเป็นผู้ที่มองหาห้องชุดขนาด 54 ตารางเมตร (เทียบกับทำเลพหลโยธิน 24) ราคาห้องชุดจะเหลือเพียง 4.8 ล้านบาท และมียอดผ่อนต่อเดือนเพียง 33,600 บาทเท่านั้น (เกือบจะครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว)

และยิ่งเป็นทำเลที่เป็น Interchange Station และมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีมากอย่างนี้ แน่นอนว่าจะต้องโครงการในอนาคตมาช่วยดันราคาสำหรับผู้ที่สนใจขายต่อได้อย่างแน่นอน

ผู้ที่สนใจโครงการสามารถพบโปรโมชั่นดีๆได้ที่งาน ORIGIN SPECIAL DAY
รับโปรแรงส่งท้ายปี! “จ่ายน้อย แต่ให้มาก”
พร้อมรับส่วนลดสูงสุดถึง 300,000 บาท*

ที่ศูนย์การค้า Central Plaza Ladprao ชั้น 1 บริเวณลานโปรโมชั้น Zone D
วันที่ 14-20 ธันวาคม 2560 นี้เท่านั้น!

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร ORIGIN Call Center : 020 300 000