ภายหลังจากที่บริษัท สิงห์ พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด ของตระกูล “ภิรมย์ภักดี”  เข้ามาจดทะเบียนทางอ้อมโดยการเข้าถือหุ้นหรือเข้าซื้อสินทรัพย์ บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)หรือ RASA เมื่อปี2557 ที่ผ่านมาและได้เปลี่ยนชื่อจาก “รสา”  เป็น “บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)หรือ S” เพื่อรุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มตัว โดยในช่วงที่ผ่านมาได้เน้นทั้งในรูปแบบของการเทกโอเวอร์โครงการอาคารสำนักงาน และโรงแรม ทั้งในและต่างประเทศมารีโนเวทและเป็นสินทรัพย์ระยะยาว และการพัฒนาโครงการระดับลักชัวรี่ในรูปแบบคอนโดฯ คือ “ดิ เอส อโศก” (The ESSE Asoke) และ “ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์” (The ESSE at SINGHA COMPLEX) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ”สิงห์ คอมเพล็กซ์” โครงการมิกซ์ยูส บนที่ดินทั้งหมด 9 ไร่ ที่กลุ่มภิรมย์ภักดี หรือเบียร์สิงห์ ชนะการประมูลซื้อที่ดินสถานทูตญี่ปุ่นเดิม เมื่อปี 2554 และที่ดินขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (ไจก้า) อีก 1 ไร่เศษซึ่งแปลงติดกัน บริเวณแยกอโศก-เพชรบุรี เพื่อนำมาพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ที่รวมทั้งประเภท โครงการค้าปลีก ที่อยู่อาศัย  อาคารสำนักงาน รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

 

 

หัวใจหลักเน้นพัฒนาโครงการระดับพรีเมี่ยม

นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยว่า หัวใจหลักในการพัฒนาโครงการของสิงห์ฯคือเน้นการพัฒนาโครงการอสังหาฯในหลากหลายรูปแบบระดับพรีเมี่ยม อาทิ ที่อยู่อาศัย,โรงแรม,คอมเมอร์เชียลและรีเทล โดยจะพยายามบริหารพอร์ตไม่ให้มีการลงทุนในเซกเตอร์ใดเซกเตอร์หนึ่งมากจนเกินไป ยกเว้นว่ามีช่วงจังหวะและโอกาสที่บางเซกเตอร์เติบโตได้ดี โดยเฉพาะในส่วนของที่อยู่อาศัยจะเน้นการขยายให้ครบทุกกระบวนการ ตั้งแต่ก่อนพัฒนา ก่อนขายและหลังการขาย

 

โดยในปีที่สิงห์ฯประกาศเข้ามาดำเนินธุรกิจอสังหาฯครั้งแรก ก็มีผู้ไม่มั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่  ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในช่วงแรกบริษัทฯอาจยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้ 100%  แต่จากการพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุด บนทำเลศักยภาพ ไม่มองที่ผลกำไรสูงสุด แต่เน้นผลกำไรที่เหมาะสม มีการคัดเลือกสถาปนิกและผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีชื่อเสียง และสามารถทำยอดขายแต่ละโครงการได้ดี รวมไปถึงทีมผู้บริหารแต่ละหน่วยธุรกิจ (Business unit:BU)ล้วนมีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน จึงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า สิงห์ฯสามารถแข่งขันในธุรกิจอสังหาฯได้ไม่แพ้ผู้ประกอบการรายอื่นๆ เพราะมีความแข็งแกร่งในเรื่องการเงิน แม้จะเข้ามาพัฒนาโครงการอสังหาฯได้ประมาณ 3-4  ปี แต่ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์แม่ คือ บริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด หรือเบียร์สิงห์ จะทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น และมั่นใจว่าในปี 2561 เป็นต้นไปจะยิ่งตอบโจทย์ให้ลูกค้ารับรู้แบรนด์ สิงห์ เอสเตทฯ ได้ชัดเจนมายิ่งขึ้นไปอีก

 

“แต่ละทำเลที่สิงห์ เอสเตทฯเข้าไปลงทุนล้วนมีจุดเด่น แม้สินค้าที่พัฒนาจะเป็นระดับลักชัวรี่ แต่ก็มีความชัดเจนด้านความคุ้มค่า ไม่ได้หวังเพื่อทำผลกำไรสูงสุดเป็นที่ตั้ง แต่ลูกค้าต้องได้สินค้าที่เหมาะสม และตอบโจทย์ ซึ่งทุกโครงการล้วนออกแบบโดยสถาปนิกชาวที่มีชื่อเสียงระดับโลก ทำให้ได้รับการตอบรับดีจากลูกค้า” นายณัฐวุฒิ กล่าว

 

“ดิ เอส สุขุมวิท36”ตอบโจทย์ลูกค้าไทย-ต่างชาติ

สำหรับโครงการที่กำลังเปิดการขายในขณะนี้คือ  “ดิ เอส สุขุมวิท36” ซึ่งเป็นโครงการแรกที่ร่วมทุนกับพันธมิตรชาวต่างชาติ คือ กลุ่มฮ่องกง แลนด์ ด้วยการจัดตั้ง บริษัท 36 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ขึ้นมาเพื่อพัฒนาโครงการดังกล่าวขึ้นมาบนที่ดิน 2 ไร่ครึ่ง โดยสิงห์ฯถือหุ้นสัดส่วน 51% และฮ่องกง แลนด์ 49% พัฒนาในรูปแบบคอนโดฯ สูง 43 ชั้น 1 อาคาร ขนาดตั้งแต่ 38.5-252 ตารางเมตร ราคาขายตั้งแต่ 12 ล้านบาทขึ้นไป หรือเฉลี่ย 330,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 338 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท ซึ่งหลังจากเปิดพรีเซลไปเมื่อวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายรวมแล้วกว่า 45% คาดว่าจนถึงปลายเดือนธันวาคม 2560 นี้จะสามารถทำยอดขายตามเป้าที่วางไว้ 50% คิดเป็นมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท

 

โดยลูกค้าที่ซื้อโครงการเป็นคนไทยมากถึง 70% และอีก 30% เป็นชาวต่างชาติ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ จีน และยุโรป โดยลูกค้าที่ซื้อส่วนใหญ่จะซื้อเพื่อการลงทุนระยะยาวมากถึง 68% ซึ่งคาดว่าสามารถปล่อยเช่าได้ในราคาเฉลี่ยประมาณ 50,000 บาท/เดือน ที่เหลือเป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัย ซึ่งห้องขนาด 1 ห้องนอนจะได้รับการตอบรับมากที่สุดในสัดส่วน 60-70%

 

“การที่ลูกค้าซื้อโครงการ “ดิ เอส สุขุมวิท36” เพราะที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ชัดเจน ,คอนเซ็ปต์โดยรวม ทั้งจำนวนยูนิต การออกแบบ วัสดุก่อสร้าง ระบบสาธารณูปโภค ฯลฯ อีกทั้งยังอยู่ติดสถานีรถไฟฟ้ามากที่สุด จึงมีความคุ้มค่าในการลงทุน ทำให้ตัดสินใจซื้อได้ง่าย เมื่อเทียบกับโครงการอื่นๆในทำเลเดียวกัน และด้วยศักยภาพของทองหล่อยังได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติไม่เสื่อมคลาย จึงส่งผลให้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นถึง 3-4 เท่าตัว ปัจจุบันราคาขายที่ดินอยู่ที่ 1.6-1.8 ล้านบาท/ตารางวา ในขณะที่ดินที่ซึ่งเป็นที่ตั้งโครงการ “ดิ เอส สุขุมวิท36” ราคาพุ่งไปถึงกว่า 2 ล้านบาท/ตารางวา จากเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา ราคาซื้อขายอยู่ที่ 1.75 ล้านบาท/ตารางวา”นายณัฐวุฒิ กล่าว

 

โครงการที่อยู่ทำเลทองหล่อ ส่วนใหญ่จะเน้นยูนิตที่ใหญ่ เริ่มตั้งแต่ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 70 ตารางเมตรขึ้นไป  ราคาขายก็สูงในสายตาของนักลงทุน ในขณะที่ “ดิ เอส สุขุมวิท 36”จะเริ่มต้นด้วยขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 38 และ 43.5 ตารางเมตร ซึ่งมีสัดส่วนที่มากถึง 70% จากจำนวนยูนิตทั้งหมด ซึ่งตอบโจทย์ลูกค้าโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ที่พบว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จะเป็นคนโสดที่ทำงานในย่านทองหล่อมาก  อีกทั้งบริษัทที่เข้ามาลงทุนในย่านใจกลางเมืองส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทขนาดกลาง-เล็ก และเป็นเซอร์วิสออฟฟิศ ใช้พนักงานไม่มากนัก พื้นที่สำนักงานเพียง 100 ตารางเมตรเท่านั้น ส่งผลให้เทรนด์การอยู่อาศัยจะมีคนโสดซื้ออยู่อาศัยมากขึ้น ส่วนชาวต่างชาติที่มาในรูปแบบครอบครัวส่วนใหญ่จะทำงานในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม

 

เรียกว่าแต่ละทำเลที่สิงห์ เอสเตทฯเข้าไปพัฒนาล้วนจะมีจุดเด่นที่บ่งบอกด้วยตัวเอง เพราะทุกโครงการล้วนมีความชัดเจน คุ้มค่า เป็นสินค้าที่จับต้องได้ ที่ผ่านมาจึงได้รับการตอบรับดี ลบคำสบประมาทได้เป็นอย่างดีว่าแม้จะเพิ่งเข้ามาอยู่ในแวดวงธุรกิจอสังหาฯได้ไม่กี่ปี แต่ก็สามารถพัฒนาโครงการออกมาได้ตอบโจทย์ลูกค้า ไม่แพ้ผู้ประกอบการรายใหญ่ รายกลางที่อยู่ในธุรกิจอสังหาฯมาช้านาน