กลุ่มแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เครือLH มั่นใจท่องเที่ยวในประเทศ ระบบสาธารณูปโภคภาครัฐหนุนธุรกิจโรงแรมโต พร้อมเปิดให้บริการ”แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา”ปลายปีนี้ แย้มแผน 3 ปีจ่อผุด 3 แห่งในกทม.-หัวเมืองท่องเที่ยว รวมมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท ทั้งปี63 เตรียมผุด”เทอร์มินอล21 พระราม3”มูลค่า4,000 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ปี61แตะ 2,400 ล้านบาท

 

 

นางสุวรรณา พุทธประสาท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด ในเครือบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน)หรือLH เปิดเผยว่า จากภาพรวมตลาดท่องเที่ยวในประเทศไทยในปี2560 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 9% และทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)โตถึง 4%  ซึ่งคาดว่าในปี 2561 จะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มอีก 2 ล้านคน เพราะภาครัฐมีการลงทุนระบบสาธารณูปโภคมากขึ้น โดยเฉพาะการขยายสนามบินอู่ตะเภาเพิ่ม เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว เพราะการท่องเที่ยวถือเป็นเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ

 

“หากจะทำให้การท่องเที่ยวในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตปีละ 10% ได้ ภาครัฐจะต้องมีการพัฒนาการคมนาคมและสถานที่ท่องเที่ยวให้สะอาด เพื่อให้ชาวต่างชาติเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวได้สะดวกสบาย เชื่อว่าในปีนี้ภาพรวมทุกอย่างจะไปได้ด้วยดี”นางสุวรรณา กล่าว

 

จากเหตุผลดังกล่าวส่งผลให้แผนการลงทุนของบริษัทในปีนี้รุกการเปิดตัวโรงแรมที่พัทยาเพิ่มอีก 1 แห่ง ภายใต้แบรนด์ ”แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา” ซึ่งเป็นโรงแรมระดับพรีเมียม มูลค่าการลงทุน 2,000 ล้านบาท (ส่วนอีก 4,000 ล้านบาทเป็นการลงทุนศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21)จำนวน 400 ห้องพัก ราคา 4,000-5,000 บาท/คืน โดยจะเปิดให้บริการได้ในไตรมาส4/2561 นี้  พร้อมตั้งเป้าอัตราการเข้าพักปีแรกอยู่ที่ 65-80% และปีต่อไปจะต้องมีอัตราการเข้าพักอยู่ที่ 85% ซึ่งจะทำสิ้นปีนี้กลุ่มโรงแรม แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ (GCP)จะมีโรงแรมทั้งหมดเพิ่มเป็น 5 แห่ง มีจำนวนห้องพักรวมกว่า 2,100 ห้อง จากปัจจุบันมีทั้งหมด 4 แห่ง จำนวน 1,401 ห้อง ได้แก่ โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์พอยต์ เทอมินอล 21, โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ราชดำริ ,โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เพลินจิต และแกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท 55

 

อย่างไรก็ตามโดยปกติโรงแรมทั่วไปจะใช้ระยะเวลาในการถึงจุดคุ้มทุนประมาณ 8-10 ปี แต่นโยบายของบริษัทหากจะให้มีอัตราการเติบโตอย่างยั่งยืน เมื่อบริหารงานได้ 3 ปี ก็จะนำสินทรัพย์ขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) เพื่อนำเงินมาต่อยอดการลงทุนโครงการอื่นๆในอนาคต ซึ่ง แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา  ก็จะดำเนินการเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการพิจารณาขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) โดยโรงแรมของบริษัทสามารถถึงจุดคุ้มทุนที่เร็วกว่าโรงแรมอื่นๆในอุตสาหกรรม  เพราะการบริหารจัดการโรงแรมของบริษัทที่มีประสิทธิภาพ และมีกองรีทรองรับการเติบโตในอนาคต ซึ่งในปี 2562 จะมีการพิจารณานำโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท 55 ขายเข้ากองฯ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท

 

สำหรับแผนการลงทุนของกลุ่มแอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล ในช่วง 3 ปีจากนี้ (ปี 2562-2564) มีแผนจะขยายการเปิดตัวโรงแรมอีก 3 แห่ง (ปีละ 1 แห่ง) ด้วยงบลงทุนทั้งหมดกว่า 6,000 ล้านบาท(แห่งละกว่า 2,000 ล้านบาท) ซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ 2 แห่ง และหัวเมืองท่องเที่ยว 1 แห่ง ขณะนี้อยู่ในระหว่างการมองหาที่ดินอยู่ โดยในกทม.จะเน้นทำเลแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน เช่น สุขุมวิทและรัชดาภิเษก ที่นับวันจะหาที่ดินได้ยากและมีราคาสูง  ส่วนการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศขณะนี้คงเป็นแผนในอนาคต เพราะต้องศึกษาเรื่องกฎหมายการลงทุนในประเทศนั้นๆให้ชัดเจน เนื่องจากต้องใช้งบประมาณในการลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยประเทศในแถบอาเซียนที่น่าสนใจในขณะนี้คือ เวียดนาม เมียนมา และกัมพูชา

 

ทั้งนี้ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่กลุ่มโรงแรมแกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ ดำเนินธุรกิจมาได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ด้วยความพึงพอใจของลูกค้า ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยจุดเด่นด้านบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า พร้อมจุดเด่นในด้านทำเลที่ตั้งที่อยู่ใจกลางเมืองใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์การค้า และแหล่งช้อปปิ้งต่างๆ จึงสามารถสร้างลูกค้าโรงแรมที่มั่นคง ทั้งยอดการเข้าพัก และราคาที่มีการเติบโตในทุกปี นอกจากนี้ยังมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงเทียบเท่าโรงแรมชั้นนำทั่วโลก

 

“แม้โรงแรมจะไม่ไช่ธุรกิจใหม่ แต่กลยุทธ์ที่เราใช้เป็นวิธีคิดใหม่ในการดำเนินกิจการ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพงานด้านการให้บริการ และคำนึงถึงลูกค้าเป็นสำคัญในด้านความคุ้มค่าและตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งเราไม่หยุดนิ่งที่จะหาสิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการต่างๆของลูกค้าในอนาคต โดยฐานลูกค้าหลักยังคงเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ รวมถึงไต้หวัน และมาเลเซีย และคาดว่าจะมีลูกค้าจากภูมิภาคอื่นเพิ่มขึ้น เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และสหรัฐอเมริกา”นางสุวรรณา กล่าว

 

นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 แห่งใหม่ ย่านพระราม 3 ใกล้กับโรงแรมมณเฑียร ริเวอร์ไซด์ พื้นที่ 30,000 ตารางเมตร งบลงทุน 4,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วง 3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 ของบริษัท มีอยู่ 1 แห่ง ที่แยกอโศก ส่วนศูนย์การค้าเทอมินอล 21 โคราช เป็นการบริหารพื้นที่เช่าให้กับบริษัท สยามรีเทล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการ

 

อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2561 ไว้ที่ 2,400 ล้านบาท จากปี 2560 ที่มีรายได้อยู่ที่ 2,200 ล้านบาท และตั้งเป้ารักษาอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (OCC) ในปีนี้ให้เท่ากับปีก่อนที่ 85%   โดยในปีนี้สัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจโรงแรม 90% ธุรกิจศูนย์การค้า 10% และสัดส่วนรายได้จากธุรกิจศูนย์การค้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 35-40% ในปี 2562 หลังจากที่ศูนย์การค้าเทอร์มินอล21 พัทยาเปิดให้บริการเต็มที่ในปี 2562 และสัดส่วนรายได้ของธุรกิจโรงแรมจะอยู่ที่ 60-65%