แสนสิริฯรุกคืบธุรกิจPropTech ผ่านสิริ เวนเจอร์ส หลังเปิดให้บริการ 1 ปี ผลตอบรับดีเกินคาด ตั้งเป้า 3 ปีทุ่มงบลงทุนต่อเนื่อง 1,500 ล้านบาท ในด้าน 4 นวัตกรรมหลัก PropTech, LivingTech, Health & Wellness Tech และ Construction Tech  ล่าสุดผนึก 2 พันธมิตรระดับโลก“Plug and Play” จากซิลิคอนวัลเล่ย์ส สหรัฐอเมริกา และ “SOSA” จากอิสราเอล เปิดมิติใหม่เพื่อการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ

 

 

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRIเปิดเผยว่า ที่ผ่านมาเทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วมากบริษัทฯก็คำนึงถึงเรื่องนี้มาโดยตลอด ซึ่งในปี2560 ที่ผ่านมา แสนสิริฯได้มีการรุกปรับองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ การบริหารด้านเทคโนโลยีเพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีสำหรับอสังหาฯ และการอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบ(Digital Transformation) ซึ่งกลยุทธ์การดำเนินงานของแสนสิรินั้นครอบคลุมในทุกมิติของการใช้ชีวิต ผ่าน Siri LifeTech ซึ่งเป็นการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยในยุคดิจิทัล รวมถึงการพัฒนายกระดับการดำเนินงานภายในองค์กรแสนสิริให้ก้าวสู่การเป็น Performance Organization ทั้งในเรื่อง Big data, Sale Force เป็นต้น โดยมี สิริ เวนเจอร์ส เป็นผู้เสาะหาและพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ผ่านพาร์ทเนอร์ชั้นนำและสตาร์ทอัพที่มาร่วมกันพัฒนาให้นวัตกรรมนั้นเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ โดยหลังจากที่มีการจัดตั้งบริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด มาเป็นระยะเวลา 1 ปี ปรากฏว่าประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมทั้งด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพผ่านการเปิดโครงการ “Siri Venture Partnership” เพื่อเฟ้นหาสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูงมาร่วมพัฒนาต่อยอดธุรกิจ

 

 

ดังนั้น ในปีนี้บริษัทฯจึงวางแผนระยะยาวในการขับเคลื่อน ด้วยการเตรียมงบประมาณลงทุนต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้น1,500 ล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุมทั้งส่วนงานการพัฒนาเทคโนโลยีการลงทุนร่วมกับพันธมิตร รวมทั้งการร่วมทุนกับสตาร์ทอัพชั้นนำทั้งในประเทศและระดับโลก หลังจากที่ผ่านมาได้ลงทุนไปแล้ว 40-50 ล้านบาท กับ 4 สตาร์ทอัพ  โดยการร่วมมือกับFarmshelf สตาร์ทอัพจากอเมริกา พลิกโฉมการปลูกผักอัจฉริยะภายในที่พักอาศัย ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากลูกบ้านแสนสิริ นอกจากนี้ในอนาคตยังมีแผนต่อยอดความร่วมมือในประเทศอื่นๆ อาทิ ฝรั่งเศส หรือ จีน เพื่อร่วมขับเคลื่อนให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพในประเทศไทยที่สมบูรณ์แบบและยั่งยืนอีกด้วย นอกจากนี้ยังร่วมมือกับAppysphere สตาร์ทอัพที่เชี่ยวชาญในเรื่องซอฟต์แวร์การพัฒนา Home Automation, การร่วมมือกับ  Onionshack สตาร์ทอัพที่ร่วมพัฒนา Thai Voice AI,และร่วมกับ Techmaticsสตาร์ทอัพที่พัฒนาหุ่นยนต์แสนดี ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา

 

ด้านนายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีบริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภค เป็นความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการในยุคปัจจุบัน ที่จะต้องมีการเรียนรู้และปรับเปลี่ยนธุรกิจเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนไป จากความสำเร็จในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาของสิริ เวนเจอร์สฯสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทฯได้เสาะแสวงหาเทคโนโลยี (Technology Acquisition) มาให้กับทั้งแสนสิริและลูกบ้าน รวมทั้งเป็นเสมือนประตูที่เชื่อมต่อลูกบ้านแสนสิริไปยังเทคโนโลยีและผู้ให้บริการใหม่ๆ และแผนการดำเนินงานต่อไปของบริษัทคือการมุ่งต่อยอดธุรกิจและเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยเน้นใน 3 ด้าน ประกอบด้วย

 

1.ด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพ  ซึ่งจะเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับแกนธุรกิจหลักของแสนสิริ ด้วยงบประมาณ 1,500ล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี 2.ด้านความร่วมมือในการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพ (Ecosystem Partner) โดยการจับมือกับพันธมิตรเพื่อผนึกกำลังยกระดับระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพด้าน PropTech และLivingTech ในไทยและภูมิภาคให้เติบโตอย่างยั่งยืน  3.ด้านการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม (Lab & Development) มุ่งพัฒนาสร้างสรรค์ “Sansiri Home Service Application” เพื่อเปิดประตูสู่มิติใหม่ของการใช้ชีวิตของลูกบ้านแสนสิริ รวมถึงเชื่อมโยงกลุ่มลูกค้าผ่านเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในไทยและทั่วโลก

 

 

อย่างไรก็ตามในปีนี้สิริ เวนเจอร์สจะรุกลงทุนในสตาร์ทอัพ (Startup Investment)โดยเน้นนวัตกรรม 4ด้านที่สอดคล้องกับธุรกิจอสังหาฯ ของแสนสิริ ได้แก่ 1.PropTech  นวัตกรรมเพื่อส่งเสริมด้านการซื้อขายแนวใหม่การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ หรือ Know-how ใหม่ ๆ ที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้หลากหลายยิ่งขึ้น ขณะนี้เจรจาอยู่กับออนไลน์เอเยนซี่ในประเทศต่างๆอยู่ 1-2 ราย ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาด้านกฎหมาย เพราะการซื้อ-ขายในแต่ละประเทศจะแตกต่างกันไป

 

2.LivingTech  นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยใหม่ๆที่จะเพิ่มความสะดวกสบายความบันเทิง ความปลอดภัย และยังช่วยลดค่าใช้จ่าย ผ่านสตาร์ทอัพที่ สิริ เวนเจอร์ส ลงทุนไปแล้วก่อนหน้านี้ และขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการเจรจาอีก 7-8 ราย ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพจากทั้งในและต่างประเทศ

 

3.Health & Wellness Tech นวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิต และสุขภาพองค์รวมของลูกบ้าน คือจะเป็นเทคโนโลยีที่ตรวจจับเรื่องสุขภาพของคนในบ้าน ซึ่งรวมไปถึงนวัตกรรมด้านอาหาร (FoodTech) ที่จะช่วยให้การใช้ชีวิตในเมืองเป็นไปได้อย่างสมดุล โดยในปี 2561 สิริ เวนเจอร์สยังมีแผนลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีเทคโนโลยีทางด้าน Health Monitoring สำหรับสังคมสูงวัยที่มีจะบทบาทสำคัญในสังคมไทยในอนาคตอีกด้วย ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับ Health Monitoring อยู่ 2-3 ราย โดยเป็นยุโรป 1 ราย,สิงคโปร์ 1 ราย และสหรัฐ 1 ราย

 

และ 4.Construction Tech  นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีด้านการออกแบบ ก่อสร้าง ควบคุมคุณภาพ รวมไปถึงวัสดุในการก่อสร้างใหม่ๆ เพื่อให้โครงการของแสนสิริตอบสนองความต้องการของลูกค้ายุคดิจิทัล และลดต้นทุนโดยรวม  โดยการนำ AR (Augmented Reality) ร่วมกับ BIM (Building Information Management) เข้ามาใช้ในการควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาอยู่ 2-3 ราย ซึ่งมีทั้งสตาร์ทอัพคนไทยและต่างชาติ

 

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาสิริ เวนเจอร์สมีการรุกลงทุนในสตาร์ทอัพมากมายทั้งในไทยและต่างประเทศ ล่าสุด สิริ เวนเจอร์สยังได้ร่วมมือกับ Innovation Platform ระดับโลก 2 ราย คือ “Plug and Play” จากซิลิคอนวัลเล่ย์ส สหรัฐอเมริกา และ “SOSA” จากอิสราเอล ซึ่งทั้งสองเป็นเครือข่ายของสตาร์ทอัพเกือบหมื่นรายจากทั่วโลก ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงสิริ เวนเจอร์สให้พบกับสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพและเกี่ยวเนื่องได้เร็วและมากขึ้น โดยกิจกรรมที่ร่วมมือกันนั้นจะเริ่มตั้งแต่การเฟ้นหาจากโจทย์ปัญหา การจัดโปรแกรม Accelerate การจัดการ pitch รวมถึงการเฟ้นหาโอกาสในการร่วมลงทุน

 

“ด้วยแผนการดำเนินการธุรกิจที่มุ่งเน้นทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการลงทุน (Investment), ด้านความร่วมมือในการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพในไทย (Ecosystem Partner) และด้านการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม (Lab & Development) พร้อมเงินลงทุน1,500 ล้านบาท ใน 3 ปีนี้  สิริ เวนเจอร์ส จึงพร้อมที่จะเปิดประตูสู่มิติใหม่สำหรับการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบครบวงจร ทั้งในเรื่องของการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์และเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยให้กับทุกคน ซึ่งในเร็วๆ นี้ จะมีการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ๆที่น่าตื่นเต้น อาทิ ด้านพลังงานทดแทนอัจฉริยะ โครงการบ้านอัพเกรดได้ รวมไปถึงพาร์ทเนอร์ใหม่ๆของ Home Service App ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกด้านรวมถึงการยกระดับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยผ่านการสร้างระบบนิเวศเพื่อการพัฒนาด้าน PropTech และ Living Tech ที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในประเทศไทย”นายจิรพัฒน์ กล่าว

 

ด้าน มิสโรนี เคเน็ท ฮาร์เมลิน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจจากบริษัท SOSA กล่าวถึงการเป็นพาร์ทเนอร์กับสิริ เวนเจอร์สว่าSOSA เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงในประเทศอิสราเอล เพื่อเพิ่มโอกาสในการเชื่อมต่อสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและองค์กรต่างชาติทั่วโลก โดยปัจจุบันมีเครือข่ายสตาร์ทอัพกว่า 5,000 ราย ทั้งที่มุ่งเน้นสร้างเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการก่อสร้างโดยตรง สามารถเติบโตในตลาดได้อย่างยั่งยืนและล่าสุดการร่วมกับสิริ เวนเจอร์ส ในการมุ่งเน้นยกระดับ Sansiri Home Service Application ไปอีกขั้นให้เป็นมากกว่าแอพลิเคชั่นที่อำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านแสนสิริ แต่ยังเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงลูกบ้านไปยังพันธมิตรที่มาร่วมพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ นอกจากนั้น พันธมิตรต่างๆ ยังสามารถร่วมต่อยอดเทคโนโลยี ทั้งในด้าน Home Automation หรือ Voice AI ภาษาไทย เพื่อให้เกิดเป็นนวัตกรรมบริการรูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมในทุกมิติของการใช้ชีวิต และพร้อมที่จะขยายขอบข่ายบริการในตลาดที่กว้างขึ้น โดยทีม Lab & Development จะนำเทคโนโลยีของสตาร์ทอัพที่เราไปลงทุนเข้ามาใช้งานกับลูกบ้านผ่านทางแอพฯ ที่พัฒนาขึ้น

 

มร.ชอน เดฮ์พานาฮ์ รองประธานฝ่ายบริหาร ฝ่ายพันธมิตรองค์กรและนวัตกรรม จากบริษัท Plug and Play กล่าวว่า บริษัทเป็นแพลตฟอร์มที่มุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายที่เชื่อมโยงสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและองค์กรจากทั่วโลก ทำให้เกิดประโยชน์ร่วมสร้างให้ธุรกิจเหล่าเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ในขณะเดียวกันนักลงทุนและองค์กรจะได้ร่วมต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันในเครือข่ายมีสตาร์ทอัพกว่า 6,000 รายจากทั่วโลกในหลากหลายสาขา มี corporate partner มากกว่า 220 บริษัท และมีออฟฟิศตั้งอยู่ในกว่า 28 แห่งทั่วโลก ในวันนี้เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จับมือกับ สิริ เวนเจอร์ส บริษัทที่มีพันธกิจในการมุ่งเน้นการสร้างสรรค์ Disruptive Technology ทั้ง 4 ด้านอย่างเป็นรูปธรรม โดยมั่นใจว่าจะสามารถร่วมกันต่อยอดเพื่อผลักดันให้มีนวัตกรรมตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยใหม่ๆ ที่เกิดจากสตาร์ทอัพ ได้อย่างแน่นอน