แมกโนเลียฯรับเตรียมร่วมทุนวันพ้อยท์ซิกซ์ฯของ”ธัญทิพ เจียรวนนท์” คาดสรุปผลสัดส่วนการถือหุ้นได้ก่อนเปิดพรีเซลโครงการ “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ”ในเดือนก.ค.นี้ ด้านวิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน”มียอดขายรวมแล้วกว่า 80% ปลายมี.ค.พร้อมเปิดพรีเซล“วิสซ์ดอม อินสปาย”มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ฟุ้งทุนสิงคโปร์-ฮ่องกง จ่อซื้อห้องชุดยกล็อต 100-200กว่ายูนิต คาดปลายปียอดรับรู้รายได้แตะกว่า 12,000 ล้านบาท

 

 

นายสุทธา เรืองชัยไพบูลย์ ประธานผู้อำนวยการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(MQDC) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 2561 ว่า แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ดีมานด์ในการซื้อที่อยู่อาศัยก็ยังมีอยู่ แต่จะเลือกซื้อโครงการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวันได้มากขึ้น ด้านผู้ประกอบการก็จะหันมาพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูสมากขึ้น เพื่อให้เข้ากับเทรนด์ในปัจจุบันและตอบโจทย์ลูกค้าในยุคปัจจุบันบันด้วย

 

ส่วนกระแสข่าวที่แมกโนเลียฯจะเข้าไปร่วมทุนกับบริษัท 1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (วันพ้อยท์ซิกซ์ ดีเวล็อปเม้นต์) ของ “นางสาวธัญทิพ เจียรวนนท์”  บุตรสาวคนเดียวของ “นายสุภกิต เจียรวนนท์” และเป็นหลานอา ของ”นางทิพาภรณ์ เจียรวนนท์” ที่ร่วมทุนกับ “นายชวิน อรรถกระวินสุนทร” พัฒนาโครงการ “THE STRAND THONGLOR” (เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ) คอนโดฯ High rise ครบวงจรในรูปแบบมิกซ์ยูส (Mixed-use) ระดับ Luxury ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 1-2-46 ไร่ หรือ 2,548 ตารางเมตร ระหว่างซอยสุขุมวิท55และ57 มูลค่าโครงการกว่า 5,500 ล้านบาท นั้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาในเรื่องสัดส่วนการถือหุ้น คาดว่าจะสรุปผลได้ก่อนที่จะเปิดพรีเซลในเดือนกรกฎาคม 2561นี้ ซึ่งMQDC ในฐานะที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯระดับลักชัวรี่ ในเบื้องต้นจะเข้าไปบริหารด้านงานขาย และปล่อยเช่าให้กับโครงการดังกล่าว ส่วนรายละเอียดต่างๆทางแมกโนเลียฯยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้

 

 

ด้านความคืบหน้าการพัฒนาโครงการ”วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน”ซึ่งเป็นโครงการมิกส์ยูสขนาดใหญ่ รวมมูลค่าโครงการกว่า 30,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ 43 ไร่ เศษ ปัจจุบันมีอัตราการขายที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมโครงการมียอดขายรวมแล้วกว่า 80% แบ่งเป็นในส่วนของคอนโดมิเนียม”วิสซ์ดอม คอนเนค”มียอดขายแล้วกว่า 90% จะเริ่มส่งมอบพื้นที่ในช่วงต้นเดือน มีนาคม2561 นี้ และ “วิสซ์ดอม เอสเซ้นส์”มียอดขายประมาณ 80% คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปลายปี 2561 นี้ ส่วนของร้านค้าในพื้นที่ มียอดจองแล้วกว่า 80% ขณะที่พื้นที่ของส่วนสำนักงานซึ่งบริษัทได้ร่วมมือกับ”ทรู ดิจิทัล พาร์ค”พัฒนาศูนย์กลางด้านดิจิทัลเน้นสร้างสตาร์ทอัพ อีโคซีสเตม แบบครบวงจรนั้น ปัจจุบันมีอัตราการขายแล้ว 100% โดยมีสัดส่วนเป็นลูกค้าต่างชาติ 30% ได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ไต้หวัน และญี่ปุ่น ที่เหลือเป็นลูกค้าชาวไทย 70%

 

 

และในปลายเดือนมีนาคมนี้มีแผนเตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ภายใต้ชื่อ”วิสซ์ดอม อินสปาย”ซึ่งเป็นคอนโดฯอาคารที่3 ภายในโครงการ”วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน”อย่างต่อเนื่อง  โดยมีความสูง 46 ชั้น ขนาดกว่า30-100 ตารางเมตรขึ้นไป ราคาตั้งแต่ 4.2-15 ล้านบาทขึ้นไป หรือราคาเฉลี่ย 140,000 บาท/ตารางเมตร จำนวนกว่า 550 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 4,000 ล้านบาท ขณะนี้มีกลุ่มทุนสิงคโปร์ 2 รายและฮ่องกง 1 ราย สนใจที่จะซื้อห้องชุดแบบยกล็อต แต่ละรายจะซื้อจำนวนตั้งแต่ 100-200 กว่ายูนิต ในยูนิตราคาตั้งแต่ 4-10 ล้านบาทขึ้นไป ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจา หากนักลงทุนทั้ง 3 รายซื้อยกล็อตหมดโควตาชาวต่างชาติ 49% ก็จะสามารถทำให้โครงการดังกล่าวปิดการขายได้เร็วขึ้น จากที่ตั้งเป้ายอดขายจนถึงปลายปีนี้ไว้ที่ 80% ก็อาจจะสามารถปิดการขายได้ 100% เลยก็เป็นไปได้

 

“การที่โครงการ WHIZDOM 101 (วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน)  ได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 6 โมเดลที่เข้ารอบสุดท้ายสนับสนุนการออกแบบเมืองอัจฉริยะจาก 36 โครงการที่เข้าร่วมประกวด ซึ่งจัดโดยกระทรวงพลังงาน ร่วมกับมูลนิธิอาคารเขียวไทย เชื่อว่าจะช่วยดึงชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัย และใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆในโครงการได้มากขึ้น โดยทั้งโครงการมีความคืบหน้าด้านยอดขายแล้ว 80% และจะแล้วเสร็จทั้งโครงการในปี2562”นายสุทธา กล่าว

 

 

นายสุทธา กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้บริษัทฯยังอยู่ในระหว่างการมองหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในรูปแบบเดียวกับ WHIZDOM 101 (วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน) หรือโครงการ“THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” เพราะมองว่าปัจจุบันไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ต้องการความสะดวกสบาย และสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น แต่รูปแบบการพัฒนาโครงการนั้นต้องใช้ที่ดินที่มีขนาดใหญ่ จึงค่อนข้างหาที่ดินในการพัฒนาได้ยาก อย่างไรก็ตามจนถึงปลายปี2561 นี้ คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้รวมได้กว่า 12,000 ล้านบาท